Pages

Tuesday, November 19, 2013

Facebook test new chat feature : Web or Mobile

เฟซบุคแชท สามารถดูได้แล้วว่าใครออนผ่านเวปหรือมือถือ



ตอนนี้เฟซบุคน่าจะกำลังเทส feature ตัวใหม่ที่สามารถดูได้แล้ว่าใครออนไลน์ chat ผ่านเวปหรือผ่านมือถือ โดยจะปรากฎคำว่า WEB/MOBILE หลังชื่อของเพื่อนในแชท ข้างหน้าปุ่มเขียวๆ โดยคนที่ออนไลน์ผ่าน web browser บน desktop จะขึ้นว่า WEB ส่วนคนที่ออนไลน์บนมือถือจะขึ้นว่า MOBILE ดังรูป

ถึงแม้ว่า feature ตัวนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในแง่การใช้งานของ user แล้ว ถือว่ามีความสำคัญพอสมควร เพราะว่าจะได้รู้ว่าฝั่งที่เราส่งข้อความไปหานั้น เขาออนไลน์ผ่านอะไร เวลาผู้รับตอบกลับมาสั้นๆหรือตอบมาช้า และรู้ว่าเขาออนผ่านมือถือก็อาจเข้าใจไว้เลยว่า ตรูพิมยาวไม่ได้ ไม่ถนัด ตอบช้าหน่อยนะ ออนบนมือถืออยู่

ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาแชทหาหนุ่มหรือสาวที่ตัวเองปิ๊ง แต่สังสัยว่า ทำไมตอบมาแบบถามคำตอบคำ ตอบช้าจัง feature นี้ก็จะบอกได้ว่า ตอนนี้ตรูออนผ่านมือถืออยู่นะ พิมช้า ตอบช้า นิดนึง ซึ่งถ้าไม่มี คนส่งข้อความคงจะหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อเห็นว่าผู้รับออนไลน์ แต่ตอบกลับช้าหรือพิมตอบมาสั้นเหลือเกิน ป้องกันดราม่าได้ระดับนึง นับว่าเป็นประโยชน์ทีเดียว :P

Saturday, October 19, 2013

Gravity (2013)

Gravity (2013)

I convinced my girlfriend to watch Gravity. I had to apologize.

เกริ่น

ได้เห็นโฆษณาของหนังเรื่องนี้ ผ่านทางรถไฟฟ้าใต้ดิน บอกเลยว่าน่าดูมาก ในตัวอย่างเผยให้เห็นแค่ฉากนักบินอวกาศกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอวกาศ ซึ่งเกิดจากอะไรก็ไม่รู้ ชวนติดตามสุดๆ ภาพก็สมจริงมาก คิดไว้ในใจว่า ยังไงเรื่องนี้ต้องไปดูในโรงให้ได้ ไม่รอแผ่นแล้ว (หลังจากที่พลาดมาหลายเรื่อง จะไปดูอีกทีหนังก็ออกจากโรงแล้ว) เรื่องนี้ไม่พลาดครับ รีบโทรชวนแฟนไปดู พร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณต่างๆนาๆว่า สนุกแน่นอนครับ ดูคะแนนจากเวป IMDB กับมะเขือเน่าดิ 80-90% อัพ เธอไม่ผิดหวังแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยชวนคุณเธอไปดูเรื่อง Sky Line -โปรดอย่ามองขึ้นฟ้า พร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณแบบนี้แหละ ปรากฎว่าเงิบครับ สูญเสียความมั่นใจไปพอสมควร เรื่องนี้ไม่พลาดแน่ คะแนนสูงซะขนาดนั้น พอไปถึงโรงหนัง ก็ลังเลใจว่าจะดู พากย์ไทยหรือซาวแทรกดี สุดท้ายก็ตัดสินใจดูพากย์ไทย เพราะอยากดู 3D ซึ่งมีแต่พากย์ไทย เวลาหนังฉายประมาณ 3 ทุ่มได้ นั่งรอหน้าโรงจนได้เข้า ปรากฎว่าเป็นคู่แรกที่เข้าโรง กะว่าจะเข้าไปนั่งดูหนังตัวอย่างซะหน่อย ปรากฎว่า ตัวอย่างหนัง ไม่เชื่อต้องลบหลู่ฉายพอดี โอยยย หันหลังกลับ จูงมือแฟนออกมานอกโรงทันทีเลยครับ ฮ่าๆ รอคนอื่นเข้ามาก่อนดีกว่า เหอๆ รอไปรอมา สรุปรอบนั้นมีคนมาดูทั้งหมด 6 คน -..- เกริ่นมาเยอะ เข้าเรื่องสักที

Saturday, October 5, 2013

Dead Man Down (2013) : แค้น+แค้น=รัก

Dead Man Down (2013)

แค้นได้ตายไม่เป็น

เกริ่น

Dead Man Down เป็นหนัง drama action ที่เกี่ยวกับ การล้างแค้น ความแค้นของคนสองคน แก็งมาเฟีย และความรัก ถ้าใครชอบหนังแนวๆ The Girl with the Dragon Tattoo (2009) อารมณ์ของหนัง มืดๆ ทึมๆ เงียบๆ ไม่แอคชั่นจ๋า รับรองว่า ต้องชอบหนังเรื่องนี้แน่นอน เพราะผู้กำกับคนเดียวกัน คือ Niels Arden Oplev 

เรื่องราวของหนัง เกิดขึ้นที่เมือง นิวยอร์กซี่ตี้ เมื่อหัวหน้าแก็งมาเฟีย Alphonse ถูกลูบคมจากผู้ไม่หวังดี แอบลอบเข้าบ้าน ส่งจดหมายขู่ ส่งรูปแอบถ่ายมาเป็นเวลาสามเดือน โดยล่าสุดพบศพลูกน้องตัวเองที่กำลังสืบเรื่องผู้ไม่หวังดีนี้อยู่ ถูกแช่แข็งไว้ในบ้านของ Alphonse พร้อมกับทิ้งคำปริศนาและคำขู่ไว้ Alphonse กับลูกน้องถึงกับร้อนๆหนาวๆอยู่ไม่สุข ควานหาตัวคนทำให้ควัก

ขณะเดียวกัน วิคเตอร์ รับบทโดย คอริน ฟารเรล ลูกน้องมือขวาคนสนิทของ Alphonse ได้พบกับ เบียทริซ สาวที่อาศัยอยู่ตึกตรงข้าม เธอชอบแอบมองเขาผ่านระเบียงห้องเธอตลอด ทั้งคู่มีความหลังในอดีตอันเลวร้ายทั้งคู่  เดทครั้งแรกของทั้งสองน่าจะดูไปได้ดี แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเจตนาแฝงทั้งคู่ เจตนาที่เกิดจากความแค้น ซึงนำไปสู่การกำจัดพวกคนที่ทำชั่วแต่ยังลอยนวลให้สิ้นซาก

จริงๆใน trailer และเรื่องย่อทั่วๆไป บอกมากกว่านี้ แต่มันเป็นการทำลายอรรธรสในการดูหนังสิ้นดี เหตุการณ์บางอย่าง แทนที่จะได้รับรู้สดๆ ตอนดูหนัง แต่กลับถูกเฉลยหรือบอกตั้งแต่อยุ่ใน trailer แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อการตลาด และทำให้คนอยากดูหนังเรื่องนี่นั่นเอง

My Review ( มีสปอยล์นะจ้ะ )

คนนึง ลูกเมีย ถูกฆ่าตายโดยแก็งมาเฟีย การแก้แค้นถูกวางหมากไว้แล้ว (วิคเตอร์)
อีกคนนึง ถูกคนเมาขับรถชนจนทำให้ตัวเองใบหน้าอัปลักษณ์ ชีวิตเปลี่ยนไปเลย (เบียทริช)

ชีวิตของทั้งคู่ในฐานะผู้ที่ถูกกระทำ จมปลักอยู่กับความเศร้า และความเกลียดชัง ส่วนผู้กระทำยังลอยนวลอยู่

“Revenge. I've never thought about it before, but when I saw you, I knew I had my answer.”


ฉันไม่เคยคิดถึงการแก้แค้นมาก่อนเลย  ตอนฉันเห็นคุณฆ่าผู้ชายคนนั้น (ลูกน้อง Alphonse ) ในห้องของคุณ ฉันก็รู้ว่า ฉันจะต้องแก้แค้น เบียทริช ต้องการล้างแค้น ผู้ชายที่ขับรถชนเธอ โดยการขู่กับวิคเตอร์ว่า ถ้าไม่ทำตามที่เธอขอ เธอจะแจ้งตำรวจ ซึ่งเธอเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่า สิ่งที่วิคเตอร์กลัวไม่ใช่การถูกจับ แต่คือการไม่ได้ล้างแค้นต่างหาก เริ่มแรก เบียทริช ต้องการแค่ให้วิคเตอร์ฆ่าชายที่ขับรถชนเธอ แค่นั้นพอ ข้อตกลงมีแค่นั้น แต่พอเวลาผ่านไป เธอกลับคิดได้ว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร คือ moment แห่งความสุข moment ที่ทำให้เธอหัวเราะ moment ที่ทำให้เธอลืมเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่การแก้แค้น ที่ทำให้เธอมีแต่ความเกลียดชัง

"When I manage to forget what happened to me, when there are no mirrors and no people that reminds me, when my mom makes me laugh... in these moments, I have hope."

วิคเตอร์ยังคงดำเนินตามแผนการแก้แค้นของเขาต่อไป เขาขอร้องให้เบียทริช ส่งวิดีโอที่จะล่อพวกมาเฟียทั้งหมดไปที่โกดัง และระเบิดโกดังนั่นซะ ถึงแม้ว่าเขาจะต้องตายก็ตาม แต่เบียทริช ไม่ได้ส่งวิดีโอให้ และวิคเตอร์ก็ไม่ได้ฆ่าคนเมาที่ขับรถชนเบียทริชเช่นกัน ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่า การล้างแค้นไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะต่างคนต่างไม่อยากเห็นอีกฝ่ายหนึ่งจมปลักไปกับความแค้น อาจพูดได้ว่า ความแค้นที่พวกเขามี ถูกทำให้เบาบางลง ด้วยความผูกผัน ห่วงใยกัน และความรัก ดังที่ทั้งคู่ปฎิเสธที่จะทำในสิ่งที่อีกฝ่ายนึงร้องขอ 

Victor : "You didn't mail the package."
Beatrice : "You didn't kill him."
Beatrice : "You didn't kill him because you feel something for me."
Beatrice : "You knew how I would feel."
Victor : "You didn't mail the package."
Beatrice : "I tried. And the guy walked away, and I called him back."
Beatrice : "I called him back because I feel something for you."

ฉากจบจะดีกว่านี้ แทนที่พระเอกจะบู้เดี่ยวสู้กับแก็งมาเฟียทั้งแก๊ง น่าจะทำให้ดูซับซ้อน และดูมีกึ๋นสักหน่อย เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับหนังแอคชั่นทั่วๆไปนัก

ในส่วนของบทพูดนั้น หนังมีบทพูดไม่มาก มีความกระชับ สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกด้วยถ้อยคำสั้นๆตามบทบาทของตัวละคร การแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าและดวงตาของตัวละครทำได้ดี ซึ่งบทแบบนี้ คอลิน ฟาร์เรล เขาถนัดอยู่แล้ว 

สรุป

หนังไม่ได้บู้ล้างผลาญ และดราม่าจ๋า การแสดงของนักแสดงใช้ได้ พลอตเรื่องโอเค ดูสนุก น่าติดตาม เสียตรงที่ ท้ายเรื่องจบง่ายตรงตัวไปนิดนึง ตัวเอกวิคเตอร์ ดูเก่ง และวางแผนได้เว่อร์เกินจริง จุดเด่นของเรื่องนี้คือการเล่นกับความรู้สึกความแค้น ความเกลียดชังจากตัวละครทั้งสอง ซึ่งมันจะค่อยๆเจือจางลงไป จนเกิดเป็นความรักขึ้นมา แนะนำให้ดูครับ ผมให้ 8/10

Monday, September 23, 2013

คำคมหนัง : The Men Who Stare at Goats : Optimum trajectory

The Men Who Stare at Goats : Optimum trajectory

เรียกข้าว่า จารชนจ้องแพะ : ทฤษฎีภาวะที่ดีที่สุดของชีวิต


ถ้าใครเคยดูเรื่องนี้ ทั้งเรื่องแทบหาสาระอะไรไม่ได้เลย เหมือนจะเป็นหนังตลกร้ายด้วยซ้ำไป เรื่องย่อก็ประมาณว่า ตัวเอก ชื่อ Bob เป็นนักข่าวสงคราม กลับมาจากงานหวังว่าจะขอเมียแต่งงาน แต่เมียปฎิเสธเพราะแอบมีชู้กับเจ้านาย เขาหมดอะไรตายอยาก จนเข้าขั้นฆ่าตัวตาย แต่แล้วเขาก็มาเจอกับ Lyn นักรบเจได หน่วยทหารลับที่ใช้พลังจิตเป็นอาวุธ ( สามารถฆ่าแพะได้ ค่าจ้องตา ) Bob ตัดสินใจ ติดตาม Lyn เพื่อทำภารกิจลับสุดยอดให้สำเร็จ ซึ่งถ้าคนเคยดูแล้ว spoiler alert จะพบว่า องค์กรนี้มันไม่มีหอยอะไรเลย จำตอนจบไม่ได้ละ แต่ดูจบก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เหมือนมันเป็นตลกร้าย กัดจิกเกี่ยวกับสงครามอะไรสักอย่างนี่แหละถ้าจำไม่ผิด

แต่สิ่งที่ประทับใจในหนังเรื่องนี้ เป็นบทสนทนาระหว่าง Lyn กับ Bob ว่าด้วยเรื่องชะตาฟ้าลิขิต (รึปล่าว) พยายามหาสิ่งที่เราชอบให้เจอและวิ่งหามัน เมื่อนั้น เราจะไม่ได้ว่ายน้ำทวนกระแสอีกต่อไป

Bob have you ever heard of optimum trajectory?
What?
Optimum trajectory.Your life is like a river.
If you're aiming for a goal that isn't your destiny you're always going to be swimming against the current.
Young Gandhi wants to be a stock-car driver. It's not gonna happen.
Little Anne Frank wants to be a high school teacher.Tough titty Anne. It's not your destiny.
But you will go on to move the hearts and minds of millions.
Find out what your destiny is and the river will carry you.
Now sometimes events in life give an individual clues as to where their destiny lies.
Like those little doodles you just happened to draw?

นายรู้จักการใช้จิตหาชีวิตที่ดีที่สุดไหม
อะไรนะ
ใช้จิตหา...ชีวิตที่ดีที่สุด
ชีวิตนายก็เหมือนแม่น้ำ ถ้าเป้าหมายไม่ใช่ชะตาละขิต นายต้องว่ายทวนกระแสไปตลอด
ตอนหนุ่มคานธีอยากเป็นคนขับรถไฟ ซึ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
แอนน์ แฟรงค์อยากเป็นครูมัธยม แย่หน่อยมันไม่ใช่ชะตาเธอ
แต่...สองคนนนี้...ทำให้หัวใจนับล้านๆประทับใจ
หาชะตาชีวิตนายให้เจอ แล้วสายน้ำจะพัดพานายไปเอง
บางครั้ง...เหตุการณ์ในชีวิต ก็จะเป็นตัวบอกใบ้ ว่าชะตาของเราจะนำเราไปที่ไหน


เคยคิดไหมว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต อะไรพาเรามาได้ จนถึงขนาดนี้ เราหาสายน้ำของตัวเองเจอรึยัง ?

"Optimum trajectory. Your life is like a river. If you're aiming for a goal that isn't your destiny you're always going to be swimming against the current. Find out what your destiny is and the river will carry you. Sometimes events in their life give an individual clues as to where their destiny lies".

What are the clues in your life?

Wednesday, August 14, 2013

G.I. Joe: Retaliation (2013)

G.I. Joe: Retaliation (2013)

จี ไอ โจ๊ก

เกริ่น

หนังตระกูล G.I. Joe มีมาแล้ว 2 ภาค - ภาคแรกชื่อ G.I. Joe: The Rise of Cobra ปี 2009 มาปีนี้กลับมาอีกครั้งในชื่อ G.I. Joe: Retaliation ซึ่งคำว่า retaliation แปลว่า การแก้แค้น การตอบโต้ การแก้เผ็ด ซึงน่าจะหมายถึงการกลับมาแก้แค้นของกลุ่มก่อการร้าย Cobra

###### SPOILED ALERT / มี สปอยล์ ยังไม่ดู อย่าเพิ่งอ่าน ######

My Review

  • ต้นเรื่องหนังพยายามปูทางให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง กับตัน Duke หัวหน้าทีม G.I. Joe กับ Roadblock ผู้เป็นทั้ง ลูกน้อง เพื่อนสนิท ไม่แน่ใจว่า ในภาคหนึ่งทำได้ดีแค่ไหน แต่สำหรับการปูเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ผ่าน เพราะ ตอน Duke ตาย ก็ไม่ได้ซึ้งอะไรเลย  (แต่แอบตลกตอน Duke เล่นเกมส์กับ Roadblock Roadblock ด่า Duke ว่าแค่เล่นเกมทหาร ยังไม่เป็นเลย ตัวหมุนติ้วๆ แล้วของจริงจะไปไหวหรือ )
  • Theme หนังดูคล้ายๆ Mortal Combat แต่ก็ไม่เชิง หรือยิงกันมันส์แบบ Black Hawk Down ก็ไม่ใช่ เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร  ตอน Storm Thunder รู้ตัวว่าถูกหลอกใช้ หนังแทบไม่ได้ให้คำใบ้อะไรเลยกับคนดู พอดาบหักปุ๊บ อาจารย์ตาบอด (Blind Master) รู้ทันที ไม่เนียนๆ
  • ฉากต้นเรื่อง ที่ทีม G.I. Joe บุกฐานทัพทหารเกาหลีเหนือ ไม่มีประเด็นอะไรเลย นอกจากเปิดตัว ซึ่ง กิ๊กก๊อก มาก อีกฉากคือฉากปล้นนิวเคลียร์ ที่แสนจะธรรมดา คนร้าย วิ่งทื่อๆ มาให้กลุ่ม G.I. Joe ยิง เล่นๆ เท่ห์ๆ 
  • ฉาก ช่วยตัวร้าย Cobra Commander หัวหน้าผู้คุม ชอต Storm Shadow ได้ มีโอกาสยิง แต่ไม่ยิง กลับวิ่งหนี หางจุกตูด 
  • Storm Shadow ไปรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ที่เทือกเขาสูง ปกคลุมด้วยหิมะ หมอแม่เหมือนจะรักษาด้วยไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่ใช่ จะวิทยาศาสตร์ก็ไม่เชิง ตลกดี
  • ฉาก ปธน สหรัฐ ร่วมประชุมกับ ผู้นำ 8 ประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ เพื่อหารือเรื่องการลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่เจอ surprised จากประธานาธิบดีสหรัฐปลอม เข้าไป ยิงนิวเคลียร์ถล่มทุกประเทศแม่มเลย แล้วหลอกล่อให้ประเทศที่เหลือ ยิงด้วย เรียกว่า เปิดสงครามกันเลยก็ว่าได้ ต่างคนต่างมี กระเป๋าเดินทาง เอาไว้กดปุ่มยิง จะเหลือหรอครับ ต่างคนต่างยิง มีเท่าไหร ใส่ให้หมด แล้วทันใดนั้น ปธน สหรัฐ ปลอม surprised อีกครั้ง ด้วยการกดทำลายระเบิดนิวเคลียร์ตัวเอง แล้วบอกคนอื่นว่า พวกเอ็งจะยอมให้โลกถูกทำลายหรอ กดทำลายระเบิดด้วยสิโว้ย และแล้วทุกคนก็ทำลายนิวเคลียร์ของตัวเองหมด อะฮ้า คราวนี้โลกก็ปลอดอาวุธนิวเคลียร์แล้ว เป็นแผนที่สุดยอดมากๆๆๆ ( ไม่รู้ว่า ผกก ตั้งใจให้ฉากนี้ดูซีเรียส ตื่นเต้น เร้าใจ หรือตลกกันแน่ เพราะผมอดหัวเราะไม่ได้เลยกับฉากนี้ หรือเจตนาจริงๆอาจจะเป็นมุกตลกร้าย ก็ได้ )
  •  ไอ้ ปธน ปลอม ที่แปลงโฉมได้ ไอ้เราก็นึกว่า จะแปลงโฉมเป็นคนอื่น เพื่อหลบหนี แต่ดันมาตายโง่ๆซะนี่ เข้าข่าย ผู้ร้าย ดีแต่พูด 

สรุป

เป็นหนัง action ฟอร์ม ยักษ์ ที่ธรรมด๊า ธรรมดา ออกแนวห่วยด้วยซ้ำไป เนื้อเรื่อง ฉากบู้ ความตื่นเต้น เร้าใจ ไม่มี จะทำเท่ห์แต่ดันไม่เท่ห์ หลายๆเรื่องหลายๆฉาก ไม่ make sense เอาซะเลย ตลกซะมากกว่า เอาไป 4/10 - ไม่แนะนำให้ดู ขึ้นทำเนียบ เข้าชิง หนังยอดแย่แห่งปี 

Tuesday, August 6, 2013

5 เหตุผล ที่ควรดูหนัง เสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย

5 เหตุผล ที่ควรดูหนัง เสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย

ที่มารูป : ใน internet

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะหนังในโรง หรือหนังแผ่น คนดูสามารถเลือกได้ว่าจะดูหนังด้วยเสียง soundtrack (เสียงต้นฉบับของหนัง) หรือเสียงพากย์ไทย แต่ละคน ก็มีเหตุผลไม่เหมือนกัน แต่นี่คือ 5 เหตุผล ที่ควรดูหนังเสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย

1. เพราะ soundtrack คือเสียงต้นฉบับ

เสียงก็ถือเป็นการแสดงอย่างนึง พากย์ไทยถึงแม้จะพากย์ดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถสื่อถึงอารมณ์ที่ออกมาจากเสียงต้นฉบับได้ ทุกๆอารมณ์ที่ผ่านจากเสียงของตัวละคร จะไม่ถูกแปรสภาพ เหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกอย่างที่ผู้กำกับอยากได้และต้องการที่จะสื่อ มันอยู่ในเสียงนั้นแล้ว เสียงหล่อๆของพระเอก ทอมครูซ เสียงเล่าเรื่องที่มีเอกลักษณ์และทรงพลังมากที่สุดอย่าง มอร์แกน ฟรีแมน   คุณจะไม่พลาดเสียงเหล่านี้เลย ถ้าคุณฟังเสียงต้นฉบับ

2. พากย์ไทย ชอบเติมแต่ง พากย์คนละอารมณ์กับเสียงต้นฉบับ

หนังบางเรื่อง ไม่ได้เป็นหนังตลก แต่พากย์ไทยซะกลายเป็นหนังตลกเลย บางฉากถ้าดูหนังเสียงต้นฉบับ อย่างลุ้น แต่ถ้าดูพากย์ไทย อารมณ์ลุ้น มันถูกกลบด้วย เสียงพากย์ที่พูดติดตลกตลอด ทั้งๆที่ตัวร้าย น้ำเสียงน่ากลัวโคตรๆ สิ่งที่พากย์ไทย โดยเฉพาะทีมพากย์พันธมิตร ชอบเติมแต่งเข้าไปมากสุดคือ เสียงพูดติดตลกจาก คนรอบข้างแบบไม่ได้รับเชิญ ใช่ มันทำให้หนังมีสีสันขึ้น แต่บางทีมันก็ไม่เข้ากับอารมณ์หนังตอนนั้นเลย

3. พากย์ไม่ดี

ลองนึกถึงพระเอกหน้าโหดๆ แต่เสียงดันโคตรหล่อ หรือพระเอกที่หน้าหล่อๆ แต่เสียงแหบ จำได้ไม่ลืมเลยครับ พากย์ไทยเรื่อง MI4 คนพากย์ Tom Cruise เสียงแหบและเบามากๆ มีแต่คนบ่น หรือการพากย์ที่ไม่ตรงกับความหมายของหนังจริงๆ นึกตัวอย่างไม่ออก แต่มีแน่นอน

4. พากย์ไทย ตัดเสียง รอบข้างออก

แต่ก่อน ถ้าดูพากย์ไทย เวลามีเสียงพากย์ เสียงรอบๆข้าง เสียงนกเสียงกาที่อยู่ในฉาก จะเบาๆลง เพื่อหลีกทางให้เสียงพากย์ แต่ด้วยเทคโนโลยี เดี๋ยวนี้คงไม่ค่อยมีแล้วมั้ง ที่จะพากย์ทีต้องตัดเสียงในฟิล์มออกทั้งหมดแล้วค่อยพากย์ ถ้ามีก็คงจะเป็นพวกพากย์ผี มาก่อนหนังเข้าโรง

5. ได้ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว

นี่คือเหตุผลหลัก ของการดูหนัง soundtrack ของใครหลายๆคนรวมถึงผมด้วยก็ว่าได้ ในชีวิตประจำวันเราๆ จะมีโอกาสได้ฟังภาษาอังกฤษกันมากสักเท่าไหรเชียว การดูหนัง soundtrack จะทำให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงและเสียง รู้ศัพท์ รู้สำนวน คำพูดที่จะพูดในสถาณการณ์ต่างๆ เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่ไม่น่าเบื่ออีกรูปแบบนึง


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน และหนังบางเรื่อง เช่น ถ้าต้องการดูหนังแบบไม่คิดอะไรมาก หนังจีน หนังเกาหลี หนังฮ่องกง ตลกๆ ฮาๆ ไม่เน้นเนื้อเรื่อง ก็ดูพากย์ไทยจะดีกว่า  เพราะมันฮากว่าแน่นอน หรือหนังที่เนื้อหาแน่นๆ บทพูดเยอะๆ เร็วๆ ก็ดูพากย์ไทยดีกว่า เพราะไม่ต้องคอยชำเลืองอ่านซับ และจะได้ดูรู้เรื่อง
หรืออาจจะแล้วแต่โอกาส และเวลา เช่น ดูกับพ่อแม่พี่น้อง ก็ต้องดูพากย์ไทย เพราะคนอื่นไม่อยากอ่านซับ หรือถ้าดูในโรง สตอปหรือรีกลับไปดูไม่ได้ ก็ดูพากย์ไทย ถ้าดูผ่านแผ่น DVD Bluray กรอไปมาได้ ก็ดู soundtrack

ส่วนตัว ประเด็นการฝึกภาษาอังกฤษและอรรธรสในการดูหนัง เป็นประเด็นหลักที่จะพยายามดูหนังทุกเรื่องด้วยเสียง soundtrack ถึงแม้ว่าวันนี้ผมยังต้องพึ่ง ซับไทยอยู่บ้าง แต่ก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนไม่ต้องพึ่งซับอีกต่อไป และพยายามทำให้การฟัง/พูดภาษาอังกฤษกลายเป็นเรื่องธรรมดา โดยไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกเลย สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง ผมว่ามันคุ้มที่จะลองนะครับ คุณว่าไหม :'P

Sunday, August 4, 2013

Oblivion (2013)

Oblivion (2013)
ชื่อไทย : อุบัติการณ์โลกลืม

เกริ่นๆ

เคยดูตัวอย่างเรื่องนี้แบบสั้นๆ หน้าโรงหนังก่อนดูเรื่องพี่มาก พระโขนง จำฉากบนโปสเตอร์ได้ มีแค่ทอมครูส กับโลกที่สภาพพังพินาศ และยานบินในอนาคตคล้ายๆแมลงปอ น่าดูมากๆ แต่พอได้ดูจริงๆ ความสนุกกลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะคาดหวังไว้สูงเกินไป ปล. Oblivion เป็นคำนาม แปลว่า การลืม หรือ การถูกลืม ในที่นี้อาจจะหมายถึง ตัวละครชื่อ Jack (พระเอกรับบทโดยทอมครูซ) หรือ โลกทั้งโลกก็ได้

เรื่องย่อ

ในปี 2077 โลกอยู่ในสภาพล่มสลาย หลังจากการทำสงครามระหว่างกลุ่มมนุษย์ต่างดาว Scavs กับโลก โลกได้รับชัยชนะ แต่สภาพของโลกย่ำแย่เกินกว่าที่จะอยู่อาศัยได้ มนุษย์ย้ายไปอยู่ที่ดวงจันทร์ Titan (ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์) Jack Harper (รับบทโดย Tom Cruise ) และ Victoria (รับบทโดย Andrea Riseborough)  เป็นมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่บนโลก พวกเขาได้รับมอบหมายให้ปกป้อง Hydro Rigs - เครื่องจักรที่ดูดน้ำทะเลของโลกเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ในอาณานิคมใหม่ ความอยู่รอดของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพลังงานเหล่านี้ อีก 2 อาทิตย์เท่านั้น ที่ภารกิจของพวกเขาจะลุล่วง และพวกเขาก็จะได้กลับบ้าน(ใหม่) สักที

##### Spoiled Alert #####

My Review

Oblivion - เพื่อมนุษยชาติ หรือเพื่อใคร ???

เป็นหนังฟอร์มยักษ์ ที่ผมผิดหวังอีกเรื่อง เพราะดูจากพระเอกร้อยล้านอย่างทอมครูซ และ เรื่องราวต่างๆ ในตัวอย่าง โปสเตอร์ เนื้อเรื่องความเป็นมา หรือการหักมุม ทำให้หนังดูดีมีชาติตระกูล แต่กลับทำออกมาได้ไม่ถึงพริกถึงขิงเลย บางตอนทำเอาผมเผลองีบไปเลยก็มี 

การหักมุมของหนังในส่วนของมนุษย์โคลน ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Moon ขึ้นมาทันที แต่เรื่อง Oblivion ยังห่างไกลนัก ความอึ้ง และ wow moment สู้เรื่อง Moon ไม่ได้ เป็นเพราะ Oblivion ไม่ได้ใส่เนื้อเรื่องให้กับ clone มากนัก หนังโฟกัสไปที่ Jack T49 คนเดียวซะมากกว่า

The Tet คืออะไร - Tet คือ วัตถุต่างดาวที่ถูกพบโดยบังเอิญโดยยานสำรวจซึ่งกำลังเดินทางไปดวงจันทร์ Titan (อยู่ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ Titan) NASA เลยปลุก Jack กับ Victoria ขึ้นมาก่อน เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายของภารกิจไปสำรวจ วัตถุต่างดาวแทน แต่ยานเหมือนถูกดูด เข้าไป Jack ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเลย สละลูกเรือที่เหลือที่ยังนอนหลับในตู้แช่อยู่ และพวกเขาก็โดนดูดไป โดนทำเป็นร่างโคลน มาบุกโลก เรื่อง เอเลียน Scavs บุกโลกเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาจาก Tet ทั้งสิ้น จริงๆแล้ว Tet นั้นแหละบุกโลกเอง ลบความจำของ Jack ออกโดยอ้างว่าเหตุผลเรื่องความปลอดภัยของภารกิจ สรุปคือ Tet ไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาว แต่เป็น AI ขั้นสูง คิดเอง ทำเองได้ คล้ายๆเรื่อง I-Robot 

สิ่งที่ไม่ชอบ

  • หนังมุ่งประเด็นไปกับ Jack กับ Julia มากเกินไป จนทำให้รายละเอียดอื่นๆในเรื่อง ที่ควรจะมีดันไม่มี เช่นเรื่องราวเกี่ยวกับ Scavs - ว่าพยายามอะไรไปบ้างใน 50 ปี ไปไงมาไง ทำเป็นภาพย้อนอดีตอะไรก็ได้ นี่มีแค่ มอร์แกน ฟรีแมน มาพูดไม่กี่ประโยค รู้สึกมันไม่เติมเต็ม plot ที่มันว่างๆอยู่เลย
  • Jack กับ Julia ไม่ซึ้งเลย - ส่วนตัวคิดว่า  ไม่มี Julia หนังก็ยังทำให้สนุกได้ แต่หนังก็ยังใส่มา และคนดู (อย่างผม) ไม่ได้รู้สึกอินไปกับการเสียสละ หรืออะไรเลย มันแปลกๆเหมือนกันนะ ที่ Julia ตื่นจากเครื่องหลับเย็น มาเจอ Jack แต่ดันไม่พูดหรือไม่ถามอะไรเลย ใช่ เธออาจจะไม่ไว้ใจ Jack แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำ บทให้ดูเธอฉลาดกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย 
  • ทำไมพวก Scavs ไม่บอก Jack ตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนไว้ที่ Drone ตอน Jack มาซ่อมหรืออะไรก็ได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ Alien แต่จริงๆแล้วคือมนุษย์เหมือนกัน 
  • เพลง หรือ เสียงประกอบ แต่ละฉาก ดูแปลกๆ ไม่ค่อยเข้าเท่าไหร
  • ถ้าตัวละครไหนเล่าเรื่องอดีตหรือกำลังเผยปมอะไรบางอย่าง ทำ flash back ให้เห็นนิดนึงก็ยังดี
  • Tag line ของหนังที่บอกว่า Earth is a memory worth fighting for แต่เท่าที่ดู เนื้อเรื่อง ความหนักแน่น มันยังไม่ support tag line นี้ซะทีเดียว เพราะ พระเอก Jack ก็ไม่ค่อยได้สู้อะไรเท่าไหร - สู้กับหุ่น Drone 2 ฉาก + ยอมตายเพื่อทำลาย Tet
  • Dialogue ไม่เนียบ
  • ฉากแอคชั่นธรรมดา

สิ่งที่ชอบ

  • ภาพสวย
  • เนื้อเรื่องน่าสนใจ

อื่นๆ 

ดูรอบสอง + ไปอ่านตามเวปบอร์ดมา เจอข้อมูลที่มาปิดรูรั่วที่คิดไว้ตอนดูครั้งแรก

ถาม : ทำไม Tet ถึงต้องการ ตัว Jack กับ Julia ทำไมไม่ฆ่าทั้งคู่เลย
ตอบ : เพราะ Victoria บอก Tet ว่า เราไม่ใช่ effective team อีกต่อไป แล้ว Victory เลยโดนฆ่า Tet ต้องการ Julia กับ Jack มากกว่า , Jack ย้ำประเด็นนี้อีกครั้งด้วยการพูดว่า We are...a more effective team. 

ถาม : Tet ดูดน้ำทะเลไปทำอะไร
ตอบ : เอาไปทำระเบิด/แหล่งพลังงานโฮโดนคาร์บอน

ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับ Jack / Victoria ตัวจริง
ตอบ : ไม่รู้ หนังไม่ได้บอก แต่หลังจากนั้น จากที่ มอร์แกน ฟรีแมนเล่า โลกโดนบุกด้วย clones Jack นับพันๆตัว และเวลาในปัจจุบัน คือ phase 2 Tet ส่ง Jack มาซ่อมหุ่นพิฆาต Drone

ข้อคิด / สิ่งที่ได้จากเรื่อง / Quotes

  • สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
  • เวลาได้รับมอบหมายภารกิจอะไร อย่าสักแต่ว่าทำ ต้องหัดตั้งคำถามในใจด้วย ว่าสิ่งที่ทำ มัน make sense หรือปล่าว
  • Are you an effective team? - We are an effective team - We are a more effective team.
  • วิธีถาม-ตอบ สารทุกข์ สุกดิบ แบบเก๋ๆ
How are you all doing this lovely morning?
Another day in paradise, Sally.
  • Jack Harper: How can a man die better...

สรุป

เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่น่าจะทำได้สนุกกว่านี้ ตัวละคร Julia ไม่มีก็ได้ บางฉากดูแล้วง่วงนอน หักมุมสองครั้งแต่ไม่ตราตรึงใจ ให้ 6/10

Saturday, August 3, 2013

เดี่ยว 10 : What I got more than funny JOKEs


โนต อุดม ยังรักษามาตรฐานเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยมในเดี่ยว 10 ทั้งเรื่องความฮาแบบเป็นธรรมชาติ คำพูดที่ลื่นไหล การเลียนเสียง ท่าทาง สีหน้า เนียนมากๆ การหยิบจับประเด็นในสังคมมาพูดแบบฮาๆเสียดสี หรือประสบการณ์ชีวิตที่เฮียแกได้เรียนรู้ เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เรามองข้าม แกเอามาพูดได้หมด ยิ่งถ้าคนฟังเกิดในยุคเดียวกับเฮียแกแล้ว จะเข้าใจอารมณ์ที่เฮียแกพูดได้อย่างดี

แต่นอกเหนือจากความฮาแบบท้องแข็งที่ได้รับกันถ้วนหน้าแล้ว สิ่งที่ผมรู้สึกได้ใน เดี่ยว 10 หรือเดี่ยวภาคหลังๆมานี้ โนต อุดม จะแฝงข้อคิด หรือ นัยยะ ต่างๆเกี่ยวกับประเทศไทยไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหารัฐบาล ปัญหาต่างๆอะไรที่ควรจะแก้แต่ไม่แก้ พฤติกรรมแบบไทยๆ กัดความเป็นไทยได้แสบๆคันๆ สะดุ้งกันทั่วหน้า คำว่า Thailand Only ที่พูดกันติดๆปากใน social network ก็มาจากเฮียแกนี่แหละ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน รู้สึกกันทุกคน ผมว่าทีแกเอาเรื่องพวกนี้มาพูด นอกจากว่า มันจะทำให้คนดูชอบ คล้อยตาม และฮาแบบไม่ต้องเกริ่นอะไรมากแล้ว ผมเชื่อว่าแกคงอึดอัดไม่น้อยกับความเป็นสถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้และแกก็รู้ว่า คนอื่นก็รู้สึกเหมือนๆกัน

ยกตัวอย่างเช่น เพลง AEC ที่เฮียแกเอามาร้องในแบบแรพ โดนเต็มๆ ฮาแบบเสียดสีสังคม เจ็บทีเดียว จะเรียกว่าเป็นตลกร้าย ก็ได้มั้งครับ ประชดประชัน จี้จุด คนไทยเต็มๆ โดยเฉพาะ หน่วยงาน รัฐบาล ที่มีหน้าทีออกนโยบายอะไรทั้งหลายแหล่ แต่ไม่ค่อยจะได้เรื่องเลย ลองอ่านดูครับ ประกอบกับเสียงดนตรีประกอบในใจ

AEC มันคืออะไร ยังไม่เข้าใจ มาจนถึงวันนี้
เปิดเนตเข้าไปหาความหมาย เนตก็ช้าชิบหาย หลุดทุกห้านาที
Asian Economic รวบรวมสมาชิก เป็น Community
ลาว พม่า กัมพูชา สิงคโปร์ อินดง อินโด มาเล ก็มี 
เวียตนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน รวมกับ พี่ไทย ก็สิบประเทศพอดี
จะมัดรวมกันเพื่ออะไร จะไปไฝว้กับใคร ผมจะรู้ไหมนี่ 
บ้างก็ว่าเศรษฐกิจ จะดูดีกว่าเก่า ส่งออกนำเข้า ค้าขายเสรี
มีอำนาจต่อรองกับฝรั่ง ย่านนี้จะมั่งคั่งไปทุกๆ คันทรี่
ไปรวมเป็นแก๊งค์เดียวกับเขา ถามตัวเองหน่อยไหมเล่า ว่าพวกเรามีอะไรดี

เอาง่ายๆแค่สัญญาณโทรศัพท์ ชาติอื่นเขาขยับ ไปถึงไหนแล้วพี่
ลาว เลอว ที่ชอบไปล้อเค้า ซึมไปเลยไหมเล่า เขามี 4G
ของไทยที่หลงใช้กันอยู่นาน มัน 3G อุปทาน จริงๆมันแค่ 2G
เขาบอกว่าของจริงมาแน่เมษา เขาบอกว่าของจริงมาแน่เมษา ฝากถามด้วยว่า มันชาติหน้าหรือชาตินี้

ข้าวไทยเคยเป็นแชมป์ส่งออก ปีนี้ไม่ต้องบอก ตกไป 234 
ขายข้าวไม่ดีไม่เสียหน้า ยังไงยอดขายหมา ก็เป็นหนึ่งทุกปี

นโยบายชาติไหนช่างเขา รัฐบาลของเรา นโยบายอินดี้
โครงการ รถยนต์คันแรก ทั้งแถมทั้งแจก ช่วยลดภาษี 
แย่งจองกันฝุ่นตลบ กว่าจะได้รถครบ ก็ตั้ง 34 ปี
ถอยรถออกมาเป็นล้าน มีรถทุกบ้าน แต่ถนนไม่มี
หัวแถวอยู่สุขุมวิทย์ ท้ายแถวนู้นติด อยู่ปัตตานี
รถติดๆอยู่ในรถ เงินเติมน้ำมันก็หมด เงินผ่อนรถก็ไม่มี
ขาดส่งโดนยึดทำไงอ่ะ ขาดส่งโดนยึดทำไงอ่ะ จะไปแคร์อะไร เรายังมีรถเมล์ฟรี

รถไฟนี่เชิดหน้าชูตา ตั้งแต่ สมัย ร๕ ใช้มาถึงวันนี้
นี่ได้ข่าวเวียตนามกับพม่า เร่งสร้างรถไฟฟ้า แซงหน้าด่วนจี๋
ของไทยจากกรุงเทพไปสุราษณ์ ใช้เวลาครึ่งชาติ หอยทากเรียกพี่

ส่วนรถเมล์ มึงจะรีบไปไหน แม่งซิ่งกระจาย ยิ่งกว่าแข่งแรลลี่่
จอดตรงป้ายนี่ปาฎิหารย์ ถือเป็นปรากฎการณ์ ในทุกๆพันปี
ซ้อนมอเตอไซค์นี่แหละ เจ๋งสุด ทั้งสวนเลน ทั้งมุด ไม่กลัวเป็นผี
เข่าเขิ่ว กูไม่ต้องสนใจ ถูรถเล็ก รถใหญ่ กระจกใคร มึงเอาดี้
กูเจ็บแต่กูให้อภัย เพราะอะไรรู้ไหม หมวกมึงหอมดี

คนขับมันก็เป็นคนไทย แต่ต่างชาติเมื่อไหร มึงไปทุกที่
พอไทยกันเองโบกบ้าง โบกจนกล้ามขึ้นแขนสองข้าง มึงก็ไม่ไปสักที
เอะอะบอก ส่งรถไม่ทันๆ ๆ ส่งอะไรไม่ทัน อู่พ่อมึงดิ
รัฐก็ออกมาช่วยสุดแรง จ้างศูนย์โทรแจ้ง 1584
แจ้งบ่อยจนมันจำเสียงได้ ก็แค่รับเรื่องไว้ ไม่ดูดำดูดี
ใกล้หน่อยมึงก็ไม่ไป ไกลหน่อยมึงก็ไม่ไป ฝนตกมึงก็ไม่ไป ฝนไม่ตกมึงก็ไม่ไป ที่ไหนๆมึงก็ไม่ไป มึงมาขับทำไม มึงช่วยบอกกูทีดิ
แต่ทีเด็ด อยากให้คุณลอง มันแล่นอยู่ในคลอง แสนแสบแห่งนี้
หางยาวๆน้ำหมักเหม็นๆ ลองให้มันกระเด็นโดนหน้า ดูดิ
ขาวอมชมพู ทันใจ ดูอ่อนกว่าวัย ไม่ต้องเพิ่งยันฮี

อยากรู้นิสัยชาติใด เขาว่าดูได้จาก รายการทีวี
รายการของประเทศเพื่อนบ้าน อวดวิวัฒนาการ อวดเทคโนโลยี
รายการทีวีของเรา ก็ไม่แพ้เขา เรามีคนอวดผี
คุณเจนก็มีญาณทิพย์นำทาง พลังงานบางอย่าง เธอรู้ได้ทันที
คุณริวก็มีจิตสัมผัส ใช้จิตสอบประวัติ ก็ทำแท้งทุกที
ผีจริง ผีเซต ผีหลอก ผีเข้า ผีออก มันก็เรื่องของผี
เรื่องผีมันไม่ใช่ประเด็นเพราะที่เราอยากเห็นมันคือนมพริตตี้

ฟุตบอลไทยมีดีทุกอย่าง มีไม่ดีอยู่บ้าง ก็แค่มีบังยี
อยากให้บอลไทยไปเวิลคัพ บอกบังยีสิคับ ให้ลงจากเก้าอี้
ได้เป็นถึงเจ้าภาพฟุตซอลโลก อายถึงกะโหลก เพราะสนามไม่มี
สร้างเสร็จไม่ทันเขาใช้ มัวไปยืนเกาอะไร อยู่ตั้งสองปี
แข่งเสร็จจนเขากลับเมืองนอก นี่สนามหนอกจอกยังไม่เสร็จนะนี่
เสร็จแล้วเอาไปทำอะไร ก็ต้องเก็บเอาไว้ เป็นอนุสาวรีย์ (เงินพวกกูทั้งน้าาาาาาาน)

กรุงเทพเมืองหนังสือโลก ไม่ได้มาเพราะโชค คนทั้งโลกรู้ดี
คนไทยนั้นรักการอ่าน นี่ไม่ได้บอกผ่าน 8 บรรทัดต่อปี
ผู้ใหญ่ควรอ่านให้เด็กเห็นเป็นเยี่ยงอย่าง อ่านให้เด็กเห็นบ้าง เป็นตัวอย่างที่ดี
ตัวอย่างมีอยู่ถมไป ไม่ต้องดูอื่นไกล นายกรัฐมนตรี
ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย แค่มีโพยยื่นให้ ก็อ่านได้ทันที
อ่านมากๆมันก็มีพลาดผิด ถนน คอ-นก-รีต ประเทศซิดนีย์
ตอนอ่านจะเก็ตหรือไม่เก็ต แต่พออ่านเสร็จ อย่าลืมแต้งกิ้ว 3 ที (thank you 3 times)

ชาติอื่นเขาขยันขายค้า เราขยันขายหน้า แบ่งพรรคแบ่งสี
ชาติไทยเราสู้เค้าได้ ไม่ต้องทำอะไร แค่หยุดทะเลาะตบตี
ปากบอกปรองดอง แต่ก็ยังจองเวร เห็นแล้วไมเกรน กำเริบทุกที
จะไปรวมกับเค้าทั้งหลาย รวมกันเองยังไม่ได้ อายเขาไหมนี่

เขาว่าจะมีแลกเปลี่ยนแรงงาน เรามาลองแลกรัฐบาล กันดูไหมพี่
เอาของผมไปบริหารของท่าน เรามาลองผลัดกัน คนละทีสองที
ไม่ว่าประเทศท่านรวยมาจากไหน เจอนักการเมืองไทย เดี๋ยวมึงได้เป็นหนี้
รับรองว่าตายยกรัง ประเทศคุณจะพัง ไม่เกินสามปี
ไม่นานประเทศคุณก็จะเหมือนประเทศผม เรื่องนี้อุดม ขอการันตี

Thursday, August 1, 2013

The Odd Life of Timothy Green (2012)

The Odd Life of Timothy Green (2012)


เกริ่นๆ

ผมไม่เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย และไม่รู้อะไรเลยว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ที่ได้ดูเพราะว่ามีคนแนะนำให้ดู  เห็นแค่ชื่อเรื่อง เดาว่าคงจะคล้ายๆกับหนังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button เพราะชื่อมันคล้ายๆกัน (The ... of ... เหมือนกัน -..-" ) ซึ่งพอได้ดูแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายมันจะไหลออกมาเลยครับ ทั้งน่ารัก ซึ้ง เศร้า สนุก ปนกันไปหมดเลย

เรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่แล้ว หรือคนที่ยังไม่มีลูก และกำลังจะมีลูก หรือคนที่แค่คิดที่จะมีลูก เพราะว่า เรื่องนี้สอนอะไรหลายๆอย่างให้กับ คนเป็นพ่อแม่ ได้อย่างดีเลย

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่รักกันมาก พวกเขาอยากมีลูกเพื่อมาเติมเต็มชีวิตคู่ แต่หมอบอกทั้งคู่ว่า ให้ถอดใจซะ ความเป็นไปได้ที่พวกคุณจะมีลูกน้อยมากถึงไม่มีเลย พวกเขาสิ้นหวัง ความพยายามทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย เวลาที่เสียไป ความหวังที่มีอยู่ หายไปหมดเลย แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป คืนนั้นเอง Jim Green ผู้เป็นสามี ขออำลาอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายกับ Cindy Green ผู้เป็นภรรยา (ไม่ได้ทำอย่างว่านะ) ด้วยการจิบไวน์พอให้กรึ่มๆ จินตนาการถึงลักษณะนิสัยของลูกตัวเองในอนาคต  เขียนสิ่งเหล่านั้นลงในกระดาษแล้วเก็บไว้ในกล่อง จากนั้นเอาไปฝังไว้สวนหลังบ้าน หวังว่าสักวันนึง ถ้าพวกเขามีลูก ลูกจะเกิดมามีลักษณะเหมือนกับที่เขาเขียนไว้... และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อคู่สามีภรรยา พบ เด็กน้อยหน้ามล ชื่อ ทิมโมธี ในบ้าน เนื้อตัวเปื้อนดินมอมแมม ถามไปถามมา ว่าลูกเต้าเหล่าใคร เด็กน้อยหน้ามลตอบว่า ผมเกิดจากสวนหลังบ้านงับ ฮัชช่า ปาฏิหารย์ได้เกิดขึ้นแล้ว :)






##### Spoiled Alert #####

My Review

การเล่าเรื่องของหนังเป็นการเล่าจากปัจจุบันไปอดีต (told in flashback) คล้ายๆเรื่อง Life of Pi ซึ่งทำให้หนังน่าติดตามมากขึ้น เพราะเรื่องราวจะค่อยๆ เผยไปเรื่อยๆ จนมาบรรจบกับปัจจุบัน และตบท้ายด้วยฉากจบในแบบฉบับที่ไม่ธรรมดา 

หนังเปิดตัวด้วยฉาก คู่สามีภรรยา ที่ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พวกเขาไปสัมภาษณ์เพื่อขอรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นว่า พวกเขาไม่ได้ตอบคำถามในแบบฟอร์มที่ว่าทำไมคุณถึงสมควรที่จะได้รับเด็กไปเลี้ยง และคุณมีประสบการณ์อะไรบ้าง เมื่อเจ้าหน้าที่ถาม พวกเขาตอบว่า เรื่องมันยาวมากเกินกว่าที่จะเขียน พวกเขาอยากจะใช้เวลานี้ในการเล่าประสบการณ์ที่จะทำให้พวกเขามีคุณสมบัติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าอันมหัศจรรย์ของพวกเขา

ฉากที่เล่าเท้าความว่า ทำไมถึงมีลูกไม่ได้ เสียงเพลงประกอบ กับ ความรู้สึก ณ ตอนนั้น มันใช่เลยครับ ดูเศร้ามากๆ ลองฟังดูครับ track ที่ 1 "You're Gonna Find It Hard to Believe"  และ track ที่ 2 "Life Goes On"


และเมื่อจิมและซินดี้ พบ เด็กชายทิมโมธี ที่เกิดจากกล่องอฐิษฐานของพวกเขาที่ฝังไว้สวนหลังบ้าน เขาก็กลายเป็น พ่อแม่ลูกไปโดยปริยาย  ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับพวกเขา ทิมโมนี มีใบไม้ติดอยู่ที่ขา เอาออกไม่ได้ หนังจะค่อยๆเล่าเรื่อง เผยความเป็นตัวตนของทิมโมธี ว่าลักษณะนิสัยของเขานั้น เป็นเหมือนกับที่พ่อแม่เขียนไว้เปี๊ยบ เช่น
  • Never Give Up ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
  • Good heart มีจิตใจที่ดีงามเหมือน ซินดี้
  • Funny like Uncle Bub มีอารมณ์ขัน เหมือน ลุงบั๊บ 
  • Honest to a fault ซื่อตรง ไม่โกหก
  • Rock มันส์กับเสียงดนตรี
  • Artistically, Picas-so with a pencil มีความเป็นศิลปิน วาดภาพด้วยดินสอเก่ง
  • Love and be loved รักและเป็นที่รัก
  • Got to score a winning goal ลูกของพวกเราจะต้องยิงประตูชัย
แต่ละฉากที่ทิมโมธีเผยตัวตนความเป็นเขา คือจุดเด่นและจุดสนุกของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากแนะนำตัวเอง ฉากปิ้งสาว ฉากคุยกับคุณลุงบั๊บ ฉากวาดรูปให้เจ้านายของแม่ ฉากแข่งฟุตบอล หรือฉากที่ประชุมโรงงานดินสอที่พ่อทิมโมธีทำงานที่กำลังจะปิดลง ทุกๆฉาก ดูสนุก มีเสน่ห์ น่าติดตาม ไม่น่าเบื่อ และมีหลายอารมณ์คลุกเคล้ากัน เช่น กระชากใจคนดู  ตลก น่ารัก เศร้า และ ซึ้ง ยอมรับเลยว่า เรื่องนี้ทำผมน้ำตาคลอเบ้า

ประเด็นหลักๆของหนังเรื่องนี้คือ การเป็นพ่อเป็นแม่คน มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ถ้าลูกมีปมด้อยต้องสอนลูกว่ายังไง ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกมากเกินไปจะทำให้ลูกเป็นยังไง ถ้าลูกโดนรังแกจะทำยังไง การให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง ให้ลูกรู้จักแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะทำยังไงถ้าลูกมีความรัก การมาของทิมโมธี ทำให้ จิมและซินดี้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง หนังผสมผสานฉากต่างๆกับพลอตเรื่องได้อย่างลงตัว เช่น การที่หนังเอาประเด็นเรื่อง ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีระหว่างพ่อของจิม กับ จิม และโรงงานผลิตดินสอที่กำลังจะปิด หรือเรื่องสาวที่ทิมโมธีหลงรัก มาผูกกับเรื่อง ทำให้น่าสนใจ และน่าติดตาม ดูแล้วไม่เบื่อเลย

แต่ขอติงจุดนึงคือ การแสดงของ ตัวละครชื่อ จิม (รับบทโดย Joel Edgerton) เขาแสดงค่อนข้างจะแข็งๆนิดนึง เช่น ฉากที่กำลังสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ศูนย์ สีหน้า อารมณ์ ท่าทาง ดูไม่เข้ากับอารมณ์ของตัวละคร ณ ตอนนั้นเลย

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

  • การที่พ่อแม่อวดเรื่องลูกตัวเองกับพ่อแม่คนอื่น ไม่ใช่เรื่องดีเลย มันจะกลายเป็นการสร้างความกดดันให้กับลูก และตัวพ่อแม่เองก็เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย ถ้าไม่ใช่ทิโมธี จิมกับซินดี้อาจจะต้องเจอปัญหาหลายๆอย่างตามมาแน่นอน
  • อย่างที่้ทิโมธีพูด เมื่อใบไม้ผมหมดไป ผมก็คงต้องไปด้วย มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เวลามักจะมีขอบเขตเสมอ มันก็เหมือนกัน เด็กอื่นๆที่โตขึ้น พวกเขาก็ต้องออกไปเผชิญโลกกว้าง เขาไม่สามารถอยู่กับพ่อและแม่ได้ตลอดเวลา วัฒนธรรมอเมริกา เป็นแบบนี้จริงๆ เรื่อง Bates Motel ก็ concept แนวนี้เหมือนกัน
  • เมื่อลูกเจอกับปัญหา ต้องรู้จักให้ลูกแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองบ้าง แต่ก็อย่าละเลยจนเกินไป และไม่เข้าไปยุ่งจนเกินเหตุ เคยดูสารคดีที่ว่าสัตว์ในโลกนี้ บางอย่างพวกมันก็มีความฉลาดไม่น้อยไปกว่าคนเลย สิ่งที่ทำให้พวกมันรู้ และคิดเป็น นั่นคือ ประสบการณ์ การเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองนำมาซึ่งประสบการณ์

Quote โดนใจ

Never Give Up - Timothy , Jim

"It's okay to be different. A little weird, even" - Reggie

"I decided our son would not be seen as different. He'll be treated like a normal kid." -Cindy

Hello, young man.
Hello, old boy.

Anything is possible!

Jim: "Have a great day!"
Cindy: "That's too much pressure."
Jim: "Have the day you have."

สรุป

The Odd Life of Timothy Green เป็นหนังที่ พ่อแม่ทั้งหลาย ควรดู ให้ข้อคิดอะไรได้หลายๆอย่าง ถ้าคนที่ไม่อินกับชีวิตครอบครัว พ่อแม่ลูก คงดูไม่สนุก และเอียนกับบทพ่อแม่รักลูกในหลายฉาก  แต่สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้มีครบทุกรสชาติ ทั้งตลก ซึ้ง เศร้า ลุ้น ตามไปด้วย เป็นหนัง Feel Good ที่ดีเรื่องนี้ รวมถึงเพลงและดนตรีประกอบฉากที่เพราะๆทั้งนั้น แนะนำให้ดูครับ ให้ 9/10

อื่นๆ

ภาพสวยๆ จาก Official fan page : https://www.facebook.com/OddLifeMovie

เพลง และ soundtrack ทั้งหมด ที่อยู่ในหนังเรื่อง "The Odd Life of Timothy Green" เพราะๆทั้งนั้นครับ
อันนี้แบบเป็น play list รวมดนตรีทุกๆฉากไว้หมดเลยครับ >> http://goo.gl/XIV807

All soundtrack from "The Odd Life of Timothy Green".

No.TitleLength
1."You're Gonna Find It Hard to Believe"  1:22
2."Life Goes On"  3:18
3."That's Not Normal"  4:23
4."Our Kid"  1:19
5."...Now What?"  2:25
6."Is He for Us?"  1:31
7."Cherry on Top"  0:56
8."I Can Only Get Better! (A Glass Half Full Person)"  1:17
9."Love and Be Loved"  2:43
10."There's Something You Need to See"  1:46
11."Funny, Like Uncle Bob"  2:06
12."Why Not Make a New Kind of Pencil?"  2:20
13."Nice Socks"  1:09
14."Picasso with a Pencil"  1:18
15."Run the Other Way"  0:24
16."This World They Created"  1:09
17."Think "Tree""  1:45
18."The Championship Game"  1:47
19."I'm with "0""  1:42
20."The Winning Goal"  1:24
21."I Let Her Go"  1:22
22."We Better Get Inside"  2:25
23."Never Give Up"  1:44
24."So Much Is Possible"  3:28
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/The_Odd_Life_of_Timothy_Green

ส่วนเพลงที่อยู่ใน Credit ท้ายเรื่อง ชื่อเพลง "This Gift" เพราะดี

The Odd Life of Timothy Green - Glen Hansard "This Gift"

Tuesday, July 30, 2013

5 เหตุผลที่ไม่ควรดู ตัวอย่างหนัง ก่อนดูหนัง


ตัวอย่างหนัง หรือ trailer คือ ตัวอย่างของหนังที่ถูกปล่อยออกมาก่อนที่หนังจะเข้าโรง ความยาวก็มีตั้งแต่ 30 วินาที จนถึงนาทีสองนาที ประโยชน์ของตัวอย่างหนังมีหลายอย่าง เช่น บอกเล่าเรื่องราวย่อๆ เรียกน้ำย่อย ก่อนดูหนังจริง ทำให้คนอยากดู หลายๆคนชอบดู trailer รวมถึงผมด้วย ก่อนที่จะพบว่าการดู trailer ไม่ได้ทำให้ดูหนังสนุกขึ้นเลย แต่กลับทำให้ดูสนุกน้อยลง และนี่คือ 5 เหตุผลที่ไม่ควรดู trailer ก่อนดูหนัง

1. ฉากเด็ดๆของหนัง เอามาอยู่ใน trailer หมดแล้ว

เราจะยังตื่นเต้น หรือ อึ้ง ไปกับความอลังการของหนังหรือไม่ ถ้าเราเคยเห็น คำพูดเด็ดๆ ฉากระเบิดมันส์ๆ จาก trailer มาก่อนแล้ว มันอาจจะยังตื่นเต้นอยู่ แต่ก็ไม่เท่ากับครั้งแรกแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง Fast & Furious 6 ตัวอย่างมาเต็มทั้งฉากรถถังถล่มทางหลวง หรือฉากเครื่องบินตก พอได้ดูหนังจริงๆ แค่รถโผล่มา สมองมันก็นึกไปถึงฉากรถถังหรือเครื่องบินแล้ว 

2. trailer spoil เนื้อเรื่อง

trailer ส่วนใหญ่ไม่ได้ spoil เนื้อเรื่องแบบตรงๆ ส่วนใหญ่จะสลับฉากกันไปมา ซึ่งเราๆก็ดูไม่รู้หรอกทั้งหมดหรอก แต่ที่จะพูดถึงนี้ หมายถึง เรื่องย่อที่ trailer นำเสนอ จริงอยู่การบอกเรื่องย่อ ก็เป็นการเกริ่นเนื้อเรื่องของหนัง ให้รู้ที่มาที่ไป แต่เรื่องย่อบางเรื่อง ก็ไป spoil เนื้อเรื่องที่มันเป็นจุดตื่นเต้นสำคัญเลย เช่น เรื่อง Looper เรื่องย่อดันบอกว่า โจแก่ถูกคนในอนาคตส่งมาให้โจหนุ่มฆ่า และใน trailer เหมือนโจแก่หนีไปได้ นั่นเป็นจุดตื่นเต้นเลยนะ ดันรู้ก่อนดูหนังจริงซะอีก

3. trailer บางเรื่องดูน่าสนุกมาก แต่พอดูจริงๆ ห่วยครับพี่น้อง

เช่นเรื่อง Sky Line มาพร้อมกับ tagline ว่า "โปรด อย่ามองขึ้นฟ้า" ภาพจานบินดูดคนขึ้นยาน ทำให้หนังน่าดูโคตรๆ ตอนนั้นอยากดูมากๆ ขนาดรบเร้าแฟนไปดูได้ (ปกติแฟนเป็นคนไม่ชอบดูหนังเลย) โดยผมโฆษณากับแฟนไว้ว่าคนสร้างเรื่องเดียวกับ 2012 เลยนะเธอ (จริงๆแค่ทีมงาน special affect ทีมเดียวกัน) แต่พอดูแล้ว What the f*ck!!! แถมยังโดนแฟนว่าอีกว่าหนังอะไรเนี่ย ไม่สนุกเลย (ก็ trailer มันโคตรน่าดูเลยนี่นา -*- )

4.  ฉาก / เพลง / คำพูด / หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มีใน trailer แต่ไม่มีในหนัง

จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร แต่มีแน่นอน มันไม่ใช่เลยที่จะใส่คำพูด หรือฉากอะไรลงไปใน trailer แต่ไม่มีในหนัง เหตุผลนึงคือ trailer อาจถูกทำตอนที่หนังยังไม่ final cut

5. trailer ก็คือเครื่องมือการทำการตลาดดีๆนี่เอง

ลองนึกภาพรูปอาหารตามป้ายหรือเมนูตามร้านอาหารต่างๆ รูปแต่ละรูปน่ากินมากๆ ชิ้นใหญ่เต็มจาน ชวนน้ำลายสอ แต่พอสั่งมาจริงๆ ได้นิดเดียว อร่อยรึปล่าวไม่รู้ นั่นแหละครับ การตลาด โฆษณา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่เรื่อง หนังบางเรื่อง trailer ก็ไม่ได้แย่ตามเหตุผลข้างบน และก็ไม่ได้หมายความว่า เวลาผมไปดูหนังในโรง ตอน trailer ฉาย ผมก็จะปิดตาไม่ดู ผมดูครับ ฮ่าๆๆ เป็นการดูเพื่อให้รู้ว่าเรื่องไหนน่าดู น่าสนุก ดูเสร็จแล้วก็ลืมๆไปซะ จำแค่ว่า มันน่าดูนะ หลังจากนั้น ถ้าจะตัดสินใจดูเรื่องอะไร จะดูจากกระแสของคนรอบข้าง ว่าปากต่อปากไหม ดู rating ในเวปมะเขือเน่ากับ imdb

ความเห็นส่วนตัว การดู trailer ไม่ได้ช่วยให้การดูหนังสนุกขึ้นเลย trailer เป็นแค่โฆษณาที่กระตุ้นต่อมให้อยากดู การดูหนังที่ได้อรรธรสจริงๆ ควรไปสัมผัส รับรู้กันสดๆในหนังเลยดีกว่า เพราะคำพูดเด็ดๆ ฉากสนุกๆ ตัวละครที่น่าค้นหา สิ่งใหม่เหล่านี้ที่สมองยังไม่รับรู้ จะช่วยให้การดูหนังสนุกขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน

Saturday, July 27, 2013

Madagascar 3: Europe's Most Wanted (2012)

Madagascar 3: Europe's Most Wanted (2012)

มาดากัสการ์ 3 ข้ามป่าไปซ่าส์ยุโรป

เกริ่นๆ

การผจญภัยในภาคแรก Madagascar (2005) และภาคสอง Madagascar: Escape 2 Africa (2008) ทำให้พวกเขา Alex (สิงโต), Marty (ม้าลาย), Gloria (ฮิปโป) and Melman (ยีราฟ)  ติดแง๊กอยู่กลางป่าแอฟฟริกา พวกเขาคิดถึงบ้านที่ๆพวกเขาเคยอยู่ ณ สวนสัตว์เซนทรัลปาร์คกลางเมืองนิวยอร์ก ในภาคนี้ Madagascar 3: Europe's Most Wanted (2012) ความพยายามที่จะกลับบ้านของพวกเขา นำพาพวกเขาไปผจญภัยที่ยุโรป ร่วมกับคณะละครสัตว์ นำโดย เสือ Vitaly  จากัวร์  Gia และ แมวน้ำ Stefano มาร่วมผจญภัยด้วย

Thursday, July 25, 2013

Fast & Furious 6 (2013)

Fast & Furious 6
เร็ว & แรงทะลุนรก 6

เกริ่น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่ผมจะกลับไปแก้ไขเกี่ยวกับการดูหนังเรื่องนี้คือ ไม่ดู trailer ของหนังเรื่องนี้สิบนาทีก่อนนอนตีพุงรอดูฉากแอคชั่นมันส์ๆ เพราะอะไรน่ะหรอครับ ฉากแอคชั่นมันส์ๆ ที่ทำให้ลุ้นตัวเกร็ง ฉายใน trailer หมดแล้วครับ ทั้งรถถัง ทั้งเครื่องบิน มาหมด พอดูหนังจริงๆ ไม่ติ่นเต้นเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อ จากที่เคยเขียนไว้ว่า เราควรดูตัวอย่างหนัง หรืออ่านเรื่องย่อ ก่อนดูหนังจริงๆ หรือไม่ ครั้งนี้ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว อย่างน้อยก็อย่าดูสิบนาทีก่อนดูหนังจริงๆ ทิ้งไว้สักระยะ ดูให้พอรู้ว่าน่าสนุก แล้วก็ลืมๆไปซะว่า trailer มันเป็นยังไง แล้วไปดูในหนังจริงๆเอาดีกว่า ดูกันอีกรอบ ฉากหลักๆในหนัง ถูกใส่ไปใน trailer หมดเลย


---Spoiled Alert---

เรื่องย่อๆ 

ภาคที่แล้ว (Fast 5) ดอม (Vin Diesel) และไบรอัน (Paul Walker) พร้อมลูกทีม ปล้นแบงค์ที่ริโอเดอจาเนโร ได้เงินมากร้อยล้าน แบ่งเงิน แยกย้าย ต่างคนต่างมีชีวิตที่สุขสบาย เพียงแต่ไม่สามารถกลับไปที่สหรัฐอเมริกาได้อีก เพราะถูกขึ้นบัญชีดำ ในขณะเดียวกัน Hobbs ตำรวจกล้ามใหญ่ ท่าดี (แต่ทีเหลว รึปล่าว) จับคนร้ายฝีมือระดับพระกาฬ (ชอว์) ไม่ได้สักที เลยต้องขอร้องให้ ทีมของดอมช่วย เพราะโจรย่อมรู้ทางกันดี ซึ่งดอมไม่อาจปฎิเสธได้เลยเพราะคนรักเก่า เลตตี้ ที่ตนคิดว่าตายไปแล้ว (ฝันศพกับมือ) กลับเป็นมือขวาของชอว์ ดอมขอค่าตอบแทนเป็นการยกเว้นโทษทั้งหมดให้กับทีมเขา เพื่อที่เขาจะได้ไปใช้กลับบ้านพร้อมครอบครัว ได้ใช้ชีวิตแบบสมบูรณ์แบบอีกครั้งนึง

My Review

กลายเป็นเทรนฮิตไปแล้วสำหรับการทำหนังภาคต่อ ซึ่งเรื่องนี้นำเอาปมที่ทิ้งไว้ภาคที่แล้ว (เลตตี้ตาย) นำมาเป็นประเด็นหลักในภาคนี้ (เลตตี้ไม่ตาย) หนังเริ่มต้นได้ดีทีเดียว เปิดตัวได้น่าสนใจ ด้วยการรวมทีมใหม่อีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ฉะปะดะกับศัตรูบ้านๆ แต่เป็นถึงอดีตทหาร น่าจะเพิ่มขีดความมันขึ้นไปอีก ซึ่งก็จริง ฉากขับรถไล่กัน ฉากแอคชั่นหลายๆฉาก ดูน่าเกรงขามกว่าทุกภาค ทั้งรถถัง ทั้งเครื่องบิน และหนังยังคงมีเอกลักษณ์ตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะภาคไหนๆก็มี เช่น การโชว์รถสวยๆ เสียงเบิ้ลรถแรงๆ สาวสวยๆกับเพลงมันส์ๆ ฉากแข่งรถ 


แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมชอบและประทับใจกับเรื่องนี้มากที่สุดนั้น ไม่ใช่ฉากแอคชั่นที่อลังการ ไม่ใช่ฉากซิ่งรถไล่ล่า ไม่ใช่สาวสวยๆกับเพลงมันส์ๆ ไม่ใช่พลอตเรื่องที่เอาคนตายฟื้นคืนชีพ แต่เป็นเพราะ มุขตลกจากเหล่าลูกทีมทั้งหลาย โดยเฉพาะ Roman (Tyrese Gibson) ผมยกให้เขาเป็นพระเอกของเรื่องนี้เลย เด่นกว่าพระเอกอย่างดอมอีก เพราะถ้าไม่ได้ตัวละครตัวนี้ หนังเรื่องนี้ก็คงไม่มีสีสันอะไร นอกจากฉากแอคชั่นแบบหูดับตับไหม้ แต่ไม่เน้นความสมจริง ด้วยท่าทาง บท ของพี่แก เกรียนๆฮาๆ พูดได้เลยว่าฉากไหนมีพี่แก ฉากนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด ความตลกที่มาจากพี่แก มันทำให้ผมสนุกมากกว่าฉากบู้ๆซะอีก นึกๆไปแล้วบุคลิกท่าของแก มันคล้ายๆกับนักฟุตบอลสุดเกรียนอย่าง มาริโอ บาโลเตลี่ ไม่มีผิด อีกคนนึงที่ผมฮาไม่แพ้กัน คือ Hobbs (Dwayne Johnson) ตำรวจกล้ามใหญ่ชอบทำท่าจริงจัง แต่เดาใจผู้ร้ายผิดตลอด ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เวลาเฮียแกพูดจะเกร็งๆกล้ามคอนิดๆ เงยหน้าขึ้นหน่อย เพื่อให้ดูเกรงขาม ลองนึกถึงตอนแกเล่นมวยปล้ำดู บุคลิคเดียวกับเปี๊ยบเลย ส่วนบทของตัวเอก ดอม กับ เลตตี้ ที่เป็นพลอตหลักของเรื่องดูจืดๆชืดๆไป หนังใส่เรื่องความรักของดอมที่มีต่อเลตตี้ ถึงขนาดที่ดอมจะยอมตายแทนได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกซึ้งสักเท่าไหร เวลาที่มีบทพี่ดอมพูด แกไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย ไม่รู้ว่าเป็นกับ character หรือแสดงไม่ถึงกันแน่ เหมือนแกพยายามทำตัวเหนือด้วยการไม่แสดงสีหน้า แถมตอนสุดท้ายที่พี่ดอมแกรอด แทนที่แกจะเดินหลบๆไฟ บาดเจ็บบ้างอะไรบ้าง แต่แกเดินท่ามกลางเปลวไฟ ไม่สะทกสะท้านอะไรเหมือนเดิม บทพี่แกนิ่งตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ 


ส่วนเรื่องเนื้อเรื่อง ก็ยังคงสูตรสำเร็จเดิมๆ คือ ไม่ว่าจะยังไง คนร้ายก็แพ้วันยังค่ำ ถึงแม้ว่าจะเอาเรื่องเลตตี้ ทำให้พลอตดูมีมิติมากขึ้น เพิ่มความดราม่าระหว่างดอมและเลตตี้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก ยังคงเน้นฉากแอคชั่นเท่ห์ระเบิดล้นจอ แต่ไม่เน้นความสมจริง เช่น ฉากรถถังถล่มกันเละ รถคันไหนวิ่งตาม วิ่งนำ ดูไม่รู้เรื่องเลย รู้แต่ว่าระเบิดเละ และตัวร้ายซึ่งเหมือนจะฉลาดมาทั้งเรื่อง แต่ดันมาตายง่ายๆตอนท้าย โดยเฉพาะฉากสุดท้าย ยื้อๆยึดๆ เครื่องบิน กับฉากต่อสู้เดิมๆ มันนานเกินไป

ท้ายเรื่อง ยังทิ้งปมให้ต่อภาค 7 ด้วยการส่ง ตัวละครลับ Jason Statham ลงมาร่วมวงอีกคน -..-

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

"Every man has to have a code"
เป็นลูกผู้ชายจำเป็นต้องมีหลักการ

"We all got a weak spot"
เราทุกคนก็มีจุดอ่อนทั้งนั้น

สรุป

อาจเป็นเพราะผมดู trailer ก่อนดูหนัง ทำให้ผมไม่ตื่นเต้นกับฉากแอคชั่นมากนัก ส่วนของเนื้อหา หนังไม่มีอะไรใหม่ๆ นอกจาก เพิ่มฉากสุดท้ายเข้าไปเพื่อให้ทำภาคต่อได้อีก นอกนั้นพลอตเรื่องเดิมๆ กับฉากแอคชั่นและเนื้อเรื่องที่ไม่สมจริง แต่หนังยังสนุกได้เพราะมีฉากตลกๆจากตัวละครชื่อ Roman อยู่  ผมให้ 6/10

Monday, July 22, 2013

Lincoln (2012)

Lincoln (2012)


ออกตัวก่อนว่า รู้เรื่องประวัติศาสตร์น้อยมาก ข้อมูลอันไหนผิดเพี้ยน ชี้แนะด้วยครับ 

เหตุการณ์ในหนัง เกิดขึ้นราวๆ ปีที่ 4 ของสงครามกลางเมืองในอเมริกา ขณะนั้นท่านประธานาธิบดี Lincoln ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2  โดยหนังเรื่องนี้ กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญห้วงสุดท้าย กว่าจะได้มาซึ่ง กฎหมายที่ว่าด้วยการเลิกทาสอย่างถาวรในประเทศสหรัฐอเมริกา ใครมองหาฉากสงคราม ฉากยิงระเบิด ฉากรบกัน บอกเลยครับว่าไม่มี เป็นหนังดราม่า อิงประวัติศาสตร์ ล้วนๆครับ

สาเหตุของสงครามนี้ต้องย้อนกลับไป สมัยที่ Lincoln แห่งพรรค Republican ได้รับเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เขาสนับสนุนนโยบายเลิกทาส จนสามารถบังคับใช้ในรัฐทางเหนือส่วนใหญ่ แต่ทางรัฐส่วนใต้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเลิกทาส เพราะรัฐทางใต้ส่วนใหญ่ ทำเกษตรกรรม ต้องการใช้ทาสจำนวนมาก ในขณะที่รัฐทางเหนือเป็นอุตสาหกรรม ทางใต้เลยไม่ยอม แยกตัวเป็นอิสระ และตั้งรัฐบาลใหม่ในนามว่าสมาพันธรัฐอเมริกา สุดท้ายก็รบกัน

ประเด็นของหนังหลักๆ ที่จับใจความได้มีดังนี้
  • สงครามกลางเมืองที่ยาวนานถึง 4 ปี คนตายไปหกแสนกว่าคน ทางพรรคต้องการให้สงครามจบโดยเร็วที่สุด เพราะจะมีผลกับคะแนนนิยมของพรรค แต่ ลินคอล์นไม่ยอม เพราะเขาคิดว่า ถ้ายอมสงบศึกสงครามก่อนที่จะมีการโหวตกฎหมายการเลิกทาส การโหวตนั่นจะไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า
  • ลินคอล์นต้องเลือกอย่างใดอย่างนึงระหว่าง สงบศึกสงคราม หรือไม่ก็ ดันกฎหมายให้ผ่าน
  • ลินคอล์นยอมใช้วิธีที่ไม่สะอาด จ้างคนไป lobby สัญญาว่าจะให้ตำแหน่ง แต่ก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง
  • ในขณะเดียวกัน ลินคอล์นแอบสั่งห้ามไม่ให้ คณะผู้แทนจากสมาพันธรัฐ เดินทางมาวอชิงตัน ให้ไปที่อื่นก่อน เพราะต้องการรู้ผลการโหวตก่อน
  • มีการห้ำหั่นกันทางคำพูด คำจา ในรัฐสภา ชิงไหวชิงพริบกัน พอสมควร
  • การทำหน้าทีทั้งผู้นำประเทศ สามี และพ่อ ในเวลาเดียวกัน มันไม่ง่ายเลย
  • สุดท้ายฉากทีเด็ดของเรื่อง ฉากการโหวตรองรับกฎหมายเลิกทาส
ประเด็นที่ไม่ค่อยเข้าใจ
  • มุกหลายๆมุก ที่ลินคอร์นพูด แล้วคนอื่นตลก
  • ใครเป็นใคร ในเรื่อง งงไปหมด
  • ที่มาพูดในรัฐสภามีใครบ้าง หมายถึงฝ่ายไหนยังไง ใครต้องพูด งงนิดๆ
ฉากประทับใจ
  • ฉากในรัฐสภา สตีเว่นโดนยั่วโดนพรรคเดโมแครต เขาโดนพวกตัวเองห้ามไว้ก่อนว่าอย่าเดือด (ที่เดือดง่าย อาจเป็นเพราะ เมียของสตีเว่นเป็นคนผิวดำ ซึ่งเฉลยท้ายเรื่อง) ให้เขาพูดแค่ว่า เขาเชื่อว่าทุกเชื้อชาติเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่ต้องระบุสีผิว ซึ่งจะทำให้พรรคฝ่ายค้านเอามาแย้งได้ว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของการแก้รัฐธรรมนูญ ในห้องนักข่าวเต็มไปหมด ถ้าพูดไม่ดี มีหวังจบเห่แน่ แต่เขาตอบแบบแก้เผ็ดกลับไปว่า เขาไม่เชื่อในความเท่าเทียมของทุกสิ่ง แต่เขาเชื่อในความเท่าเทียมของกฎหมาย (I don't hold with equality in all things, just equality before the law, nothing more.) 
  • ฝ่ายค้านทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะคิดไว้แล้วว่า เขายังไงก็จะตอบว่า นิโกร เท่าเทียมกับ คนขาว แสบมากๆฉากนี้
  • ฉากที่ลินคอล์นพูดเกี่ยวกับถึงสัจพจน์เกี่ยวกับการเท่ากันทุกประการของยูคลิด (นักคณิตศาสตร์) แกบอกว่า สิ่งที่เท่าเทียมกันยังไงก็เท่าเทียมกัน มันจริง มันใช้ได้ผล และมันคือหลักฐานในตัวเอง ขนาดกฎเก่าแก่นี้ขนาด 2000 ปียังพิสูจน์ในตัวเองได้ว่า สิ่งที่เท่าเทียมกันยังไงก็เท่าเทียมกัน เราต้องเริ่มต้นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนกัน
Euclid's first common notion is this: Things which are equal to the same things are equal to each other. That's a rule of mathematical reasoning and its true because it works - has done and always will do. In his book Euclid says this is self evident. You see there it is even in that 2000 year old book of mechanical law it is the self evident truth that things which are equal to the same things are equal to each other.
  • ฉากโหวต ประทับใจมากๆ (โดยเฉพาะประโยค ให้ตายสิผมขอโหวตให้ผ่าน ผมไม่สน ต่อให้ยิงผมตาย ผมก็จะโหวตผ่าน กับฉากที่ประธานสภา ขอโหวตด้วยคน)
ประเด็นอื่นๆ
  • สปีลเบิร์กกำกับหนังดราม่า ไม่โอเคเท่าไหรนะ
  • ประเทศเขาผ่านมาเยอะ เจ็บมาเยอะ ที่ประเทศเราโดนอยู่ยังจิ๊บๆ 

สรุป

หนังคงไม่สนุกนักสำหรับคนไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ เพราะจะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สำหรับคอประวัติศาสตร์แล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว มันไม่ง่ายเลยที่กว่าจะได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญเลิกทาส ผมให้ 6/10 

อื่นๆ

เคยดูสารคดี กว่าจะมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ทาง ThaiPBS น่าสนใจมาก เล่าตั้งแต่ยุคอินเดียนแดงจนถึงปัจจุบัน ทำไมเขาถึงกลายเป็นชาติมหาอำนาจได้ อยากดูอีกรอบ แต่หาดูไม่ได้เลย ชื่อสารคดีเต็มๆ สุดยอดสารคดีโลก ชุด America The Story of the us มีทั้งหมด 12 ตอน



Update 25/07/2013 : ในที่สุดก็เจอ มีคนอัพไว้ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม แจ้งลบได้เลยนะครับ

1. America The story of The US - Rebels (การต่อต้านและการเริ่มต้น)


2. America The story of The US - Revolution (สู่การเปลี่ยนแปลง)


3. America The story of The US - Westward (สู่แผ่นดินตะวันตก)


4. America The story of The US - Division (แตกแยก)


อเมริกา - แตกแยก 21Apr12 by LadyBimbette

5. America The story of The US - Civil War (สงครามกลางเมือง)


อเมริกา - สงครามกลางเมือง 25Apr12 1 by LadyBimbette

6. America The story of The US - Heartland (ม้าเหล็กสร้างชาติ)


อเมริกา - ม้าเหล็กสร้างชาติ 28Feb13 by LadyBimbette

7. America The story of The US - Cities (กำเนิดมหานคร)


อเมริกา - กำเนิดมหานคร 27Apr12 by LadyBimbette

8. America The story of The US - Boom (ความรุ่งเรือง)


อเมริกา - ความรุ่งเรือง 28Apr12 by LadyBimbette

9. America The story of The US - Bust (วิกฤติชาติ)


อเมริกา - วิกฤติชาติ 2May12 by LadyBimbette

10. America The story of The US - World War II (ฝ่าสงครามโลก)


อเมริกา - ฝ่าสงครามโลก 3May12 by LadyBimbette

11. America The story of The US - Superpower (มหาอำนาจ)


อเมริกา - มหาอำนาจ 4May12 by LadyBimbette

12. America The story of The US - Millennium (ก้าวสู่สหัสสวรรษใหม่)


อเมริกา - ก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ 5May12 by LadyBimbette


Sunday, July 21, 2013

เราควรดูตัวอย่างหนัง หรืออ่านเรื่องย่อ ก่อนดูหนังจริงๆ หรือไม่



หลังจากที่ได้ดูหนังหลายๆเรื่อง บางเรื่องรู้เรื่องย่อมาก่อน บางเรื่องเห็นตัวอย่างผ่านๆทางโฆษณา บางเรื่องไม่รู้อะไรเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เลยเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า ระหว่างการรู้เรื่องย่อ หรือดูตัวอย่างมาก่อน กับการไม่รู้อะไรเลย แล้วค่อยไปรับรู้ ซึมซับ แบบสดๆ ตอนดูเลย อันไหนจะดูสนุกกว่ากัน สำหรับผมแล้ว มันแล้วแต่เรื่องครับ มีทั้งควรรู้และไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ตรง

Upside Down (2012)

Upside Down (I) (2012)

นิยามรักปฎิวัติสองโลก

เกริ่นๆ

ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยปริศนา มีดาวคู่แฝดคู่หนึ่ง โคจรสวนทางกันหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทั้งสองดวงต่างมีแรงดึงดูด และแรงผลัก ซึ่งกันและกัน โลกทั้งสองมีแรงโน้มถ่วงต่างกันแบบสุดขั้ว แต่มีท้องฟ้าเดียวกัน ก่อนจะดูหนังรู้เรื่อง ต้องรู้จักกฎ 3 ข้อของแรงโน้มถ่วงขั้วตรงกันก่อน

1. ทุกสสาร จะถูกดึงโดดด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกที่มันเป็นเจ้าของอยู่


2. น้ำหนักของวัตถุจะแลกเปลี่ยนด้วย วัตถุที่มาจากโลกตรงข้าม


3. ถ้าวัตถุสัมผัสกับวัตถุที่มาจากโลกตรงข้าม ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น จะเกิดความร้อนที่ผิววัตถุทั้งสอง


โลกทั้งสอง เต็มไปด้วยความแตกต่าง โลกเบื้องบน กินอยู่สุขสบาย มีชีวิตที่ดี ส่วนโลกเบื้องล่าง ผู้คนยากจน มีโอกาสไม่มากนัก เป็นเหมือนชนชั้นแรงงานที่ผลิตของกินของใช้ให้ชนชั้นบนใช้


Adam อยู่โลกเบื้องล่าง Eden อยู่โลกเบื้องบน ทั้งสองเคยแอบเจอกันตอนเป็นวัยรุ่นที่ยอดภูเขาสูง  แต่ก็โดนจับได้ และห้ามไม่ให้เจอกันอีก แทบจะเป็นได้ไม่ได้เลยที่ทั้งสองคนจะรักกัน นอกจากกฎของธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคต่อความรักของเขาทั้งสองแล้ว ทั้งสองโลกยังมีกฎเหล็กอีกข้อว่า การติดต่อกันข้ามดวงดาว ถือเป็นภัยอย่างมหันต์ และผิดกฎอย่างร้ายแรง ช่องทางการติดต่อที่ถูกต้องมีเพียงช่องทางเดียว นั่นก็คือ TransWorld ที่ๆจะทำให้ Adam ได้พบกับ Eden อีกครั้ง

My Review

เป็นหนังรัก โรแมนติก ธรรมดาๆ ไม่ดราม่ามากนัก ผสมกับเรื่องของดวงดาว โลกแฝด กฎของธรรมชาติอย่างแรงโน้มถ่วงของโลกสองโลก ซึ่งดูแปลกใหม่ๆ ทำให้หนังดูน่าสนใจ และน่าดู
ดูจากตัวอย่างข้างล่าง หนังแบบว่าน่าดูสุดๆ


แต่พอดูแล้ว ความรู้สึก ดรอปลงไปเยอะ เทียบกับตอนที่ดูตัวอย่าง หลักๆเลย คือ

  • หนังเรื่องนี้ เน้นเรื่องรัก โรแมนติก พลอตหลักๆของเรื่องคือ ผู้ชายยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อให้ได้พบกับคนที่ตัวเองรัก แต่ทว่าหนังไม่ได้อธิบายเลยว่า ทำไมสองคนนี้ถึงรักกัน คนดูเข้าไม่ถึง และไม่อิน และไม่มีอารมณ์ร่วมมากพอที่จะเชียร์ให้พระเอกเจอกับนางเอก ทั้งคู่หน้าตาดี แต่แค่การเจอกันบนภูเขา คุยเล่นกันแบบกลับหัวก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปด้วย ว่าสองคนนี้ รักกันจนยอมจะตายแทนกันได้ character ของตัวละครในเรื่องอ่อนไป
  • พลอตเรื่องง่ายไป อะไรๆ ง่ายไปหมด เพื่อนร่วมงานทำไมช่วย Adam ทั้งๆที่ผิดกฎ สูตรผสม อยู่ดีๆก็ได้ผล ไม่อธิบายว่าทำไมถึงได้ผล หรือที่บอกว่ากฎเหล็ก แต่พระเอกเดินทางไปอีกโลกแบบเข้าง่ายออกง่าย หรือตอนจบกินน้ำชมพูเข้าไป ทำให้เดินมาอีกโลกได้สบาย
  • ช่องโหว่เยอะ
แต่ข้อดีก็มีนะ ภาพสวย ไอเดียดีสำหรับเรื่องแรงโน้มถ่วงแบบกลับขั้ว

ข้อคิด

  • ความรักชนะทุกสิ่ง แม้กระทั่งกฎของธรรมชาติ - แรงดึงดูดของโลก
  • หนังแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของโลกเบื้องบนกับโลกเบื้องล่าง จริงๆ แล้ว มันก็เกิดกับโลกของเราเหมือนกัน โดยไม่ต้องมีกฎแรงโน้มถ่วงอะไรเลย นั่นคือความเหลื่อมล้ำทางสังคม เรายืนอยู่บนโลกเดียวกัน แต่เหมือนอยู่คนละโลกกันเลย แต่ฉากสุดท้าย เหมือนจะ happy ending แฮะ

สรุป

ถ้าถามว่า คุ้มค่าที่จะดูไหม ตอบ ใช่ ถ้าคุณไม่สนใจพลอตเรื่อง คุณไม่ขี้จับผิด คุณชอบดูฉากสวยๆ พระเอกหล่อๆ และจะตอบ ไม่ ถ้าคุณคิดว่าเนื้อเรื่องมันน่าติดตาม เพราะเรื่องนี้ความอินกับหนัง อารมณ์ร่วม แทบไม่มี ไม่น่าติดตามเท่าไหร ตรงไปตรงมา ม้วนเดียวจบ ให้ 5/10

Saturday, July 20, 2013

The Bourne Legacy (2012)

The Bourne Legacy (2012)

พลิกแผนล่า ยอดจารชน

เกริ่น

เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ เกิดขึ้นเวลาใกล้เคียงกับ Bourne Ultimatum ( บอร์น ภาค 3 ) เป็นเรื่องราวของ Aaron Cross รับบทโดย Jeremy Renner สายลับอีกคนที่กำลังโดนแบบเดียวกับ Jason Bourne

My Review

ถ้าใครจำเรื่องราวของหนังตระกูล Bourne ได้ จะดูเรื่องนี้ พอรู้เรื่องตั้งแต่ต้นเรื่อง สำหรับผม จำไม่ได้แล้ว ตอนแรกๆ งงครับ คุยเรื่องอะไรกันหว่า ไม่ได้อ่านเรื่องย่อ หรือดู trailer มาก่อน รู้แค่ว่านี้คือหนึ่งในภาคต่อของ Bourne และนึกว่า Jeremy จะรับบท Bourne ต่อจาก Matt Damon ด้วยซ้ำ แต่จริงๆไม่ใช่ เป็นอีกตัวละครนึงเลย และนี่คือเรื่องแบบย่อๆ ก่อนมาถึงเหตุการณ์ในหนังครับ

Jason Bourne ในภาคแรก (The Bourne Identity ปี 2002)  เขาทำภารกิจล้มเหลว ถูกยิงหมดสติ ลอยกลางทะเล ชาวประมงช่วยไว้ เขาจำอะไรไม่ได้เลย เขาพบว่าเขามีทุกทักษะในการเป็นสายลับ เขาคือบุคคลอันตราย เขาเริ่มค้นหาว่าตัวเองเป็นใคร

ในขณะเดียวกัน หน่วยงาน CIA กลัวความลับองค์กรรั่วไหลเกี่ยวกับโครงการ Treadstone โครงการที่สร้างสุดยอดมนุษย์สายลับแบบ Bourne ภารกิจระดับประเทศ ภารกิจสอดแนมข้ามชาติ สำเร็จได้เพราะคนเหล่านี้  Bourne เลยโดนตามเก็บ แต่กลายเป็นว่า ถูก Bourne เก็บหมด 

Bourne สืบตามเรื่อยๆ จนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และขออยู่แบบสันโดษ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับใครอีก แต่ CIA ดันไม่เลิก ส่งคนมาเก็บอีก และดันไปฆ่า Marie ซะนี่ ( สาวที่เจอกับ Bourne ในภาคแรก ) Bourne เลยจะแก้แค้น โค่นล้มโครงการและองค์กรบ้าๆนี่ โดยรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ให้นักข่าวคนนึงชื่อ Simon Ross 

ถึงตอนนี้  ไม่ว่าจะเป็น CIA หรือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ  งานเข้าแน่นอน เพราะโครงการลับต่างๆกำลังจะถูกเปิดโปง และเป็นที่สนใจของสื่อ พวกเขาตัดสินใจ หยุดโครงการทั้งหมด เก็บสายลับทุกคนที่อยู่ในโครงการ เก็บกวาดให้เรียบร้อย ทำให้ดูเหมือนไม่มีอะไร รอให้เรื่องเงียบ แล้วค่อยเริ่มใหม่อีกครั้ง \

และนี่ก็เป็นที่มาของเรื่อง Bourne Legacy อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น เหตุการณ์นี้คาบเกี่ยวกับ Bourne Ultimatum ( บอร์น ภาค 3 ) บอร์นนัดพบนักข่าวและนักข่าวก็โดนสังหาร ขณะเดียวกันในเรื่อง Bourne Legacy , Aaron Cross สายลับจากโครงการ Outcome ที่กำลังจะถูกปิด เขาก็ถูกสั่งเก็บเหมือนกัน แต่เขายังต้องการยาจากโครงการอยู่ และเป็นที่มาของการพบกันระหว่าง Aaron Cross ( เรียกว่า New Bourne คงจะไม่ผิด O_o ) กับนักวิทยาศาสตร์ของโครงการ Dr. Marta Shearing 

สิ่งที่ชอบ

  • หนังเริ่มสนุก น่าติดตามมากขึ้น ตั้งแต่ รู้ว่า องค์กรของรัฐบาล ต้องการทำอะไรกันแน่ ( ฆ่าสายลับ ฆ่านักข่าว หยุดโครงการทั้งหมด แล้วตามเช็ดให้เกลี้ยง ) ฉาก Aaron หนีจากการสังหาร ที่กลางป่า หิมะ ตกหนัก ถือเป็นฉากเปิดตัว สุดยอดสายลับคนใหม่อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าทักษะการสังเกต (เสียงเครื่องบิน รู้สึกตะหงิดๆ) การยิงเครื่องบินตกโดนปืนไรเฟิล ทักษะการคิดและการแก้ปัญหาที่ฉับไว ถอดสัญญาณติดตัว ไปไว้ที่หมาป่า นี่แหละ ผลลัพธ์จากโครงการ Outcome ถือว่าประสบความสำเร็จ กับตัวละครเอกตัวใหม่
  • การไล่ล่า ตัว Aaron จากองค์กรรัฐบาล ไม่ได้ดูโอเว่อร์เกินไป แบบว่า เห้ยรู้ได้ไงวะ แต่หนังทำให้เห็น เป็นฉากเป็นตอน เผยให้เห็นถึงที่มาของข้อมูลว่า การจะ track ตามตัวเจอ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ องค์กรของรัฐ สามารถแทรกแซงได้ทุกระบบ ดักคุยโทรศัพท์ ดักข้อมูลอีเมล์ เครดิตการ์ด ข้อมูลธนาคาร ข้อมูลส่วนตัว กล้องวงจรปิด วิทยุ อะไรที่ออนไลน์ เอามาดูได้หมด มีทีมงานคอยกรองข้อมูล เห็นข้อมูลไหนผิดสังเกตุแจ้งทันที ไหนจะเครื่องบินโจมตีแบบไม่มีคนขับอีก มันทำให้นึกถึง เรื่องจริงเลย ความลับของโครงการต่างๆ อย่าริมีเรื่องกับหน่วยงานลับของรัฐบาล ไม่งั้นต้องอยู่แบบไร้ตัวตน 

  • ความชั่วร้ายของ องค์กรรัฐบาล สิ่งที่องค์กรพวกนี้ทำ ก็ไม่ต่างกับ อาชญากรทั่วไป ฆ่าปิดปาก ปกปิดความจริง ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง เช่น จัดฉากฆ่านักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ส่งเจ้าหน้าที่ปลอมๆ ไปที่บ้านหมอ เพื่อที่จะจัดฉากฆ่าปิดปากหมอโดยอ้างว่าหมอฆ่าตัวตาย อย่างที่ Aaron พูด 
Well , what do you think. They are going to kill all of us and then just leave you guys alone ?
What 's going on is they're shutting the whole thing down.

  • ทฤษฎีเกี่ยวกับ การใช้ไวรัสในการ พัฒนาขีดความสามารถของทหาร ฟังดูเป็นไปได้
  • เสียง Soudtrack ดนตรีประกอบฉาก ตื่นเต้น เร้าใจ 
  • หมอ Martha (นางเอก) รับบทโดย Rachel Weisz ตกอยู่ในสถาณการณ์เดียวกัน Marie (นางเอก ของ Jason Bourne) แต่สุดท้าย Marie ก็ตาย เธอแสดงดีมาก ตีบทแตก 
  • ฉากไล่ล่า มันส์ดี

สิ่งที่ยังสงสัยอยู่

  • ก่อนหน้านี้ Aaron ไปทำอะไร ดำน้ำไปเก็บอะไร แล้วทำไมต้องซ่อนยา ทำเป็นว่าทำยาหาย แต่จริงๆซ่อนไว้ น่าจะเพราะว่า เขาไม่อยากถูกล่ามโซ่อีกต่อไป เขาต้องการหลุดพ้นจากโครงการนี้หรอ แล้วฉากแรกๆ ที่ภูเขาหิมะ เขาไปทำอะไรกันแน่ อาจจะกำลัง ฝึกอยู่ หรือโดนทดสอบอยู่

อื่นๆ

จริงๆ นิยายเรื่อง Bourne มีมากกว่า หนัง 3 ภาคที่เราเห็นอีกหรอเนี่ย โอวว

Novels[edit]

The original three Jason Bourne novels are:
The new Jason Bourne novels:

Films[edit]

The Jason Bourne film trilogy starring Matt Damon:
Other productions:
The new Bourne series films:

ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Bourne_Trilogy

สรุป

ปัจจุบัน การทำหนังแบบเนื้อเรื่องต่อกัน หนังภาคต่อ หรือ เนื้อเรื่องเดียวกัน แต่คนละเหตุการณ์ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ (Xmen , Aventure , Bourne , LotR , Wolverine , Godzilla , Transformer , ... ) การทิ้งเชื้อความสงสัยให้กับคนดู การทิ้งปมไว้ นับเป็นแรงดึงดูดที่จะทำให้หนังน่าสนใจขึ้น มีความเป็น Epic มากขึ้น เรื่องนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำภาคต่อ 

แต่กว่าจะมันส์ได้ ช้าไปหน่อย และสำหรับคนไม่เคยดู Bourne สามภาคที่แล้วมาก่อน หรือจำไม่ได้ 30 นาทีแรก ไม่รู้เรื่องครับ ส่วนเสียงดนตรี ฉากไล่ล่า ตื่นเต้นดี เอาไป 7/10 เลยแล้วกัน