Pages

Sunday, July 21, 2013

เราควรดูตัวอย่างหนัง หรืออ่านเรื่องย่อ ก่อนดูหนังจริงๆ หรือไม่



หลังจากที่ได้ดูหนังหลายๆเรื่อง บางเรื่องรู้เรื่องย่อมาก่อน บางเรื่องเห็นตัวอย่างผ่านๆทางโฆษณา บางเรื่องไม่รู้อะไรเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เลยเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า ระหว่างการรู้เรื่องย่อ หรือดูตัวอย่างมาก่อน กับการไม่รู้อะไรเลย แล้วค่อยไปรับรู้ ซึมซับ แบบสดๆ ตอนดูเลย อันไหนจะดูสนุกกว่ากัน สำหรับผมแล้ว มันแล้วแต่เรื่องครับ มีทั้งควรรู้และไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ตรง

หนังที่ควรรู้เรื่องย่อมาก่อน

เป็นหนังประเภท ภาคต่อ ภาคย้อนอดีต หรือภาคอะไรก็ได้ ที่เนื้อเรื่องไม่ได้มีที่มาที่ไปแค่ในหนัง 2 ชั่วโมง หรืออื่นๆ การไม่รู้เรื่องมาก่อน จะทำให้คนดู งง ในตอนแรกๆ เพราะหนังจะไม่เท้าความเนื้อเรื่องในตอนก่อนๆมากนัก แต่ถ้ารู้มาบ้างแล้ว รายละเอียดต่างๆในหนัง เราจะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวหนังเองยังไงก็ต้องบอกใบ้ หรือส่งผ่านข้อความที่ต้องการเท้าความด้วย โดยต้องทำให้คนดูเข้าใจง่ายๆ แต่ได้ประเด็น ขอยกตัวอย่าง หนังที่คิดว่า ควรรู้เรื่องย่อมาก่อน แต่ตัวเองดันไม่รู้ เลยเป็นงงๆ จากประสบการณ์ตรง
  • เรื่อง Bourne Legacy : ตอนแรกไม่รู้อะไรเลย นึกว่าพระเอกคือ Jason Bourne แต่ไม่ใช่  และจำเนื้อเรื่องในภาคก่อนๆก็ไม่ได้ กว่าจะรู้ว่าต้นเรื่องเขาคุยเรื่องอะไรกัน ก็นานเหมือนกัน
  • เรื่อง Cloud Atlas : ไม่รู้อะไรก่อนดูเลย กว่าจะจับจุดได้ว่าหน้านักแสดงๆ มันเหมือนๆกันนี่หว่า แต่ทำไมสลับไปสลับมา กว่าจะรู้ว่าหนังต้องการสื่อว่า ทุกชีวิตมีความเกี่ยวพันกัน มีทั้งหมด 6 ชาติ ก็ใช้เวลาเกินครึ่งเรื่องแล้ว
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การไม่ได้ดูตัวอย่างมาก่อนจะดูไม่รู้เรื่องเลย รู้เรื่องครับ แต่อาจเข้าถึงช้าและได้ข้อมูลไม่ครบ ความเห็นส่วนตัวคิดว่า ผู้กำกับ/คนสร้างหนัง เขาก็คิด plot มาอยู่แล้วแหละครับว่า ถ้าคนไม่รู้อะไรเลยมาดู จะมีจุดไหนบ้าง ที่หนังจะเผยข้อมูล ส่งข้อความมาให้คนดูได้รับรู้

หนังที่ไม่รู้เรื่องย่อมาก่อนน่าจะดีกว่า

ที่บอกว่า ไม่ควรรู้เรื่องย่อ หรือดูตัวอย่างมาก่อน เพราะบางเรื่องย่อ/ตัวอย่าง ทำให้ moment ของหนังที่ควรจะรู้ระหว่างดู กลับรู้ก่อนดู พูดง่ายๆคือ ไม่ตื่นเต้นแล้วเพราะรู้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น 
  • เรื่อง Looper : ตัวอย่างเล่าซะครึ่งเรื่องเลย Looper ฆ่าตัวเองในอนาคต พอเวลาดูหนังจริง ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องมี ซึ่งมันทำให้ไม่ตื่นเต้นเอาซะเลย แต่มันก็เป็นจุดขายของหนังนะ พูดอีกแง่นึง มันเป็นการตลาด ที่ทำให้คนอยากดู
  • เรื่อง Cloverfield : ตัวอย่างหนังของเรื่องนี้ ไม่บอกอะไรมากเลย นอกจากส่วนหัวของเทพี เสรีภาพ ปลิวลงบนถนนกลางเมืองนิวยอร์ก ตัวอย่างมีแค่นั้นจริงๆ ก่อนหน้าที่หนังจะฉาย ไม่มีใครรู้เลยว่า หนังเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ มนุษย์ต่างดาว สัตว์ปะหลาด หรือตัวอะไร ผู้สร้างหนัง ได้สร้างเวปไซต์ปลอมๆ ข่าวปลอมๆ profile myspace ของตัวละคร ขึ้นมา และมีแค่รูปภาพไม่กี่ภาพบน official website ของหนัง ซึ่งแต่ละภาพทำให้เกิดความสงสัยแก่แฟนหนัง และแฟนหนังก็ได้โปรโมทหนังโดยวิธี viral marketing ไปโดยไม่รู้ตัว คือแค่อยากจะบอกว่า หนังเรื่องนี้ ไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อน ดูสนุกตื่นเต้นกว่า รู้อยู่แล้วว่าเป็นสัตว์ปะหลาด อีกครับ

แล้วต้องทำยังไง

ก็ไม่ต้องทำยังไงครับ ปล่อยไปตามดวง ๕๕ ส่วนตัวผมไม่ค่อยดูตัวอย่างก่อนสักเท่าไหร ยกเว้นเรื่องที่ต้องการเน้นภาพสวย ต่อสู้ ไม่เน้นเนื้องเรื่อง ตัวอย่างหนังในโรง หนังภาคต่อ หนังใหม่ อ้าวจะครบทุกเรื่องแล้ว เอาเป็นว่า ไม่มีหลักเกณฑ์ครับ trailer หนัง ไม่ค่อยมีผลต่อการที่ผมตัดสินใจดูหนังสักเรื่องสักเท่าไหร ถ้าผมตัดสินใจจะดูหนังสักเรื่อง ผมจะดูคะแนนจากเวป IMDB และก็ tomato rotten เป็นหลัก  และ keyword ของเรื่อง เช่น หนังดราม่า หนังรัก หนังสืบสวน หนังฮีโร่ แค่นี้แหละครับ ส่วนเรื่องควรอ่านเรื่องย่อหรือดูตัวอย่างก่อนไหม ก็มีครับ บางที่ ผู้อ่านไม่ต้องคิดมาก(แบบผม)นะครับ ปล่อยไปตามธรรมชาติ

การดูหนังแต่ละเรื่อง ไม่แปลกครับ ที่เรารู้เรื่องไม่ครบ 100%  อาจมีประเด็นไหน หลุดไปบ้าง ตามไม่ทันบ้าง การดูตัวอย่างหนังก็เป็นแค่น้ำจิ้มยั่วน้ำลาย บางเรื่องห่วยแต่ตัวอย่างหนังอย่างมันส์ บางเรื่องตัวอย่างดูไม่มีอะไรเลย แต่สนุก ได้อารมณ์ หนังจบแล้วแต่หัวยังคิดตามอยู่เลยก็มี และสิ่งหนึ่งที่เรามักจะทำหลังดูหนังเสร็จคือ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม หาคนคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เรื่องไหนทำให้ผมทำแบบนี้ได้ ถือว่าเรื่องนั้นประสบความสำเร็จแล้วครับ  : -)