Pages

Thursday, October 23, 2014

เกณฑ์การให้คะแนนหนังตั้งแต่ 1-10 ของข้าพเจ้า



คนที่ชอบดูหนัง คงไม่มีใครไม่รู้จักเวปไซต์ IMDB ที่ IMDB มีการให้คะแนนหนังตั้งแต่ 1ดาว จนถึง 10ดาว เท่าที่ผมรู้ ใน IMDB ไม่มีเขียนบอกว่าจาก 1-10 ดาว มีหลักเกณฑ์การให้คะแนนยังไง บางครั้งผมก็เห็นคนให้คะแนนแค่ 2 rate เท่านั้น คือ 10 ดาว กับหนังที่ชอบ และ 1 ดาวกับหนังที่ไม่ชอบ แค่นั้น ทั้งๆที่ มีตั้งแต่ 1-10 ซึ่งแต่ละคนก็มีหลักเกณฑ์ของตัวเอง แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือเกณฑ์ที่ผมให้คะแนนหนัง ใครจะเอาไปใช้บ้างก็ไม่ว่ากัน ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพนะครับ เพื่อให้ได้ feeling

Rating 1 ดาว - แม่ง โคตรห่วย

หนังเรื่องไหนที่ได้ 1 ดาวนี่ถือว่า แย่มากๆ ขนาดที่อยากทุบทีวีทิ้ง ถ้าซื้อแผ่นมาก็แทบอยากจะเผาทิ้ง ถ้าอยู่บนฮาร์ดดิส ก็ลบไฟล์นั้นทันที ถ้ามีคนเอามาให้ดู ก็จะด่าคนที่เอามาให้ดูด้วย เรียกได้ว่า รมณ์เสียตามหลังเลยล่ะครับ สำหรับหนัง 1 ดาว

Rating 2 ดาว - ห่วยว่ะ

หนัง 2 ดาวก็ยังถือว่าห่วยขั้นเทพอยู่ ไม่ควรค่าแก่การดูซ้ำ ไม่น่าดูและเสียเวลา แต่มันดีกว่าระดับ 1 ดาวตรงที่ว่า ในหนังยังมีจุดเล็กๆสักจุดหรือฉากสักฉาก หรืออะไรสักอย่างที่ทำได้พอโอเค ไม่น่าเกลียด ยกตัวอย่างเช่น ฉากน่ากลัวๆสักฉาก หรือฉากสักฉากที่ทำให้หัวเราะ แต่อย่างไรก็ตาม ฉากนั้นเป็นเพียงเสี้ยวความรู้สึกของหนังห่วยขั้นเทพนี้ และเราจะไม่กลับมาดูหนังเรื่องนี้อีก

Rating 3 ดาว - ทนดูจนจบได้ไงวะ

ยังถือเป็นหนังห่วยอยู่ ดูแล้วไม่มีอะไรเลย งงๆว่าทนดูจนจบได้ไง ในหนังอาจจะมีสัญญาณอะไรบางอย่างที่ทำให้เราอยากรู้ตอนต่อไป แต่ดูไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีๆโผล่มา กลายเป็นว่าหนังไม่มีอะไรเลย แถมยังจบแบบมั่วๆ เอาเปรียบคนดู ไม่มีกึ๋นอะไร มึนๆ งงๆ ในระดับ 3 ดาวแตกต่างจากระดับ 1 และ 2 ดาวตรงที่ 1-2 ดาว ไม่ต้องดูจนจบก็ลุกออกจากโรงหรือลบทิ้งเผาทิ้งได้เลย

Rating 4 ดาว - แอบง่วง น่าเบื่อ

เป็นหนังไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น อารมณ์เทียบเท่ากับการที่ทีวีไม่มีอะไรดูแล้ว และก็ไม่รู้สึกอยากทำอะไรนอกจากดูหนัง แต่หนังก็ไม่ได้มีดีอะไรเท่าไหร เฉยๆ ง่วงนอน เรายังหาข้อดีได้คือเอาไว้ฆ่าเวลาและทำให้รู้ว่าหนังแบบนี้มันไม่สนุกนะเว้ย ให้กลับมาดูใหม่ก็ไม่ดู 4 ดาวต่างจาก 3 ดาวตรงที่ 4ดาว เนื่อเรื่องเนิบๆ น่าเบื่อ ธรรมดา ในขณะที่ 3 ดาว ให้ความรู้สึกว่า ทำไมเราถึงทนดูจนจบได้ จบแบบไม่น่าให้อภัย

Rating 5 ดาว - เรื่อยๆ งั้นๆ

เป็นหนังที่ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดี ดูได้ ยอมรับได้ ไม่ได้รู้สึกว่าเสียเวลาหรือเสียดายตังมากนัก เพียงแต่ยังไม่คุ้มค่าเท่าไหร ถ้ามีใครที่พูดถึงหนังเรื่องนี้ ก็จะจำไม่ได้ เพราะมันไม่น่าจดจำ อยู่ในระดับธรรมดา ถ้าวัดเป็นเกรดก็ประมาณ C- หรือ D ถ้ามีใครให้หนังเรื่องนี้มา ก็จะเอาไปขายต่อหรือให้ฟรีไปเลย ให้ดูซ้ำก็ไม่ดู

Rating 6 ดาว - พอใช้ได้ โอเค

เป็นหนังที่อยู่ในระดับ โอเค สามารถสร้างความสุข ความสนุกให้กับการดูหนังได้ เรียกว่า Not bad and enjoyable แต่ยังไม่เรียกว่าหนังดีที่จะต้องแนะนำคนอื่นให้ดู ถ้าได้แผ่นหนังมาก็อาจเก็บใส่กล่องหรือลัง ชนิดที่ว่า เก็บไว้เฉยๆ แต่คงไม่ดูซ้ำ ถ้าให้ดูซ้ำก็ดูได้ แต่ต้องทิ้งระยะนานพอสมควร ไม่เหมือนระดับ 7 ดาว ขึ้น

Rating 7 ดาว - หนังดี ( Good )

เป็นหนังที่เรียกว่าดีได้เลย ควรค่าแก่การดู และการแนะนำต่อคนอื่น ดูแล้วให้อะไรหลายๆอย่าง เป็นหนังระดับแรกที่ใช้คำว่าชอบได้ เป็นหนังที่เราจะแนะนำให้เพื่อนดูเวลาพูดถึงหนังเรื่องนี้ และอาจจะซื้อ DVD กลับบ้านถ้าหนังระดับนี้ลดราคา อย่างไรก็ตามหนังที่ได้ 7 ดาวก็ยังมีส่วนที่ยังไม่ถูกใจหรือขัดหูขัดตาอยู่บ้างที่เราจำได้เมื่อนึกถึงหนังเรื่องนี้ แต่เมื่อเทียบกับภาพรวมแล้ว ถือว่าเป็นหนังที่ดีที่เราสามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าชอบ ดูซ้ำหลายรอบได้ แต่ต้องนานๆที

Rating 8 ดาว - หนังมัน ( Very Good )

นอกจากหนังที่ดีแล้ว ยังเป็นหนังมันอีก ให้ดูซ้ำหลายๆรอบก็ทำได้ แต่ไม่เยอะเท่า ระดับ 9 และ 10 ดาว มีจุดที่ยังขัดหูขัดตาบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนที่ทำได้ดีมันเยอะมากจนเราลืมจุดตรงนั้นไปเลย คุณก็จะแนะนำหนังเรื่องนี้กับเพื่อน ถึงแม้ว่า ณ บทสนทนาที่คุยกับเพื่อนตอนนั้น ไม่ได้พูดถึงหนังเรื่องนี้เลยก็ตาม และถ้าคุณเจอหนังระดับนี้ในร้านขาย DVD ด้วยราคาปกติ คุณก็สามารถซื้อได้แบบไม่ต้องลังเลเลย

Rating 9 ดาว - สุดยอด ( Excellent )

เป็นหนังที่สามารถดูซ้ำหลายๆรอบ แบบไม่จำกัดครั้ง และเป็นหนังที่คุณชอบมากๆ เกือบจะสมบูรณ์แบบแต่อาจจะยังติดจุดเล็กๆบางอย่างของหนัง ที่ถ้าเปลี่ยนได้ จะดีกว่านี้มากๆจนเป็นหนัง 10 ดาว สมบูรณ์แบบ คุณจะแนะนำหนังเรื่องนี้ให้กับเพื่อน ถึงแม้ว่าเพื่อนไม่ชอบหนังสไตล์นี้ และคุณจะพูดโน้มน้าวคุณอื่น เพื่อให้ได้ดูเรื่องนี้ คุณจะยอมเสียเงินให้หนังเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าต้องจ่ายในราคาที่แพงกว่านิดหน่อย

 Rating 10 ดาว - สมบูรณ์แบบสัสๆ ( Perfect )

สมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ ไม่มีจุดไหนของหนังเลยที่คุณไม่ชอบ ดูกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ สามารถเก็บทุกรายละเอียดของหนังได้หมด และทุกครั้งที่ดูซ้ำ คุณก็จะค้นพบรายละเอียดใหม่ๆหรือเห็นบางอย่างที่ยังไม่เคยได้เห็นมาก่อน ทั้งๆที่ดูหลายรอบแล้วก็ตาม ทุกคำพูดของตัวละครมีความหมายลึกซึ้งให้คุณได้ตีความเสมอ เมื่อหนังจบคุณจะไม่จบตามไปด้วย คุณจะแนะนำหนังเรื่องนี้กับทุกๆคน รวมถึงคนแปลกหน้าด้วย และคุณสามารถคุยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้เป็นวันๆเลย ตอนจะซื้อเซ็ตของหนัง คงธรรมดาเกินไปที่จะซื้อแบบแผ่นหนังธรรมดา คุณจะมองหา special edition เสมอ

สรุป


1-2 เดินออกจากโรง ดูไม่จบ
3 ไม่ได้แย่มากจนต้องเลิกดูกลางคัน แต่ก็ยังห่วยอยู่
4 เหมือนข้อ 3 แต่น้อยลง
5 ออกจากความห่วยได้ แต่ก็ไม่ใช่หนังที่ดูสนุก
6 สร้างความบันเทิงได้ทั่วๆไป พอใช้
7 หนังดี
8 หนังดีมาก
9 ยอดเยี่ยม
10 สุดยอด



แต่ถึงกระนั้น การให้คะแนนของผมก็ไม่ได้ strict อะไรมากนักตามเกณฑ์ข้างบน อาจจะมีบางเหตุการณ์ที่ผมให้ +1 หรือ -1 กับหนังนั้นๆ เช่น ผมอาจจะ +1 ให้กับหนังที่มีฉากบางฉากที่ทำได้ดีมาก และผมชอบมาก หรือ +1 ให้กับหนังที่มีแนวคิดแหวกแปลกแนวอยากที่ไม่เคยมีหนังไหนทำมาก่อน หรือผมอาจจะให้ -1 กับฉากบางฉากที่ผมไม่ชอบ ในขณะทีหนังก็ทำได้โอเค แต่กระนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็ คือ อย่าให้เรตติ้งหนัง ตามคนอื่น

นอกจากนี้ ที่เวป IMDB เราสามารถเข้าไปดูได้ว่า หนังเรื่องนี้ได้รับคะแนนโหวตที่เรตติ้งระดับไหนบ้าง มีจำนวนคนให้คะแนนเท่าไหรที่ระดับใด เราสามารถเข้าไปดูได้ โดยคลิกที่ User rating ( เปิดไปที่หน้าของหนังเรื่องนั้นก่อน ที่ขวามือ คลิก expand more แล้วเลือก User rating ) ยกตัวอย่างเช่น หนังเรื่อง Toy Story 3  เป็นภาคที่จบได้สมบูรณ์แบบที่สุดโดยเฉพาะฉากที่ทุกคนอยู่ในโรงเผาขยะ ทุกคนกุมมือกัน ทำใจไว้แล้ว่าต้องตาย ผมนี่ให้ 10/10 เลย แล้วคนอื่นให้กี่คนแนนบ้าง ตามรูปข้างล่างเลยครับ




Wednesday, October 15, 2014

ดูหนังอย่างไรให้เก่งอังกฤษ


ก่อนหน้านี้ผมเคยยกประเด็นต่างๆเกียวกับการฝึกภาษาอังกฤษกับหนังมาแล้ว เช่น 5 เหตุผล ที่ควรดูหนัง เสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย และ 6 เหตุผล ที่ทำไม ฝึกภาษาอังกฤษ จากหนัง จึงได้ผลกว่า ฝึกจากหนังสือ วันนี้มาลองดูเทคนิคบ้างนะครับว่าเราจะดูหนังอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ มีวิธีการอย่างไรบ้าง มาดูกันครับ

1. เปลี่ยน Mind Set

ขั้นตอนแรกสุดเลย เราต้องเปลี่ยนแปลความคิดก่อน ต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่า เราทำไม่ได้หรอก ดูไม่รู้เรื่องหรอก เอาความคิดเหล่านี้ออกไปให้หมด ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด ทุกอย่างล้วนเกิดจากการฝึกฝนทั้งนั้น  แต่ถ้าใครคิดจะดูหนังเพื่อการบันเทิงอย่างเดียวก็ไม่ต้องดูเสียง soundtrack ก็ได้ แต่ถ้าใครอยากสนุกไปด้วยและได้ความรู้ได้ด้วยก็ลองดูครับ ยิงนกนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว

2. เลือกหนังที่ตัวเองชอบไว้ก่อน 

เพราะความชอบจะทำให้สนุกและไม่เบื่อ ถึงแม้ว่าจะดูหลายๆรอบก็ตาม ผมชอบดู Fight Club ดูไม่รู้แล้วกี่รอบ ทุกครั้งที่ดูผมก็จะเก็บรายละเอียดของหนังได้มากขึ้นด้วย นี่ละครับที่เขาบอกว่า เวลาคนเราได้ทำอะไรที่ชอบแล้วจะไม่รู้สึกเบื่อเลย

3. เลือกหนังที่เหมาะกับระดับภาษาอังกฤษของตัวเอง 

การเลือกหนังที่มีภาษาอังกฤษ ยากเกินไป อาจจะทำให้ท้อได้ง่ายๆ และพาลดูไม่รู้เรื่องไปใหญ่ เราควรเลือกหนังที่ไม่ยากเกินความสามารถของเรา ยกตัวอย่างหนังระดับง่ายๆก็อย่างเช่น หนัง animation , cartoon , action sci-fi ที่ไม่ได้เน้นการพูดมากนัก ส่วนหนังที่ยากขึ้นมาหน่อยก็เช่นหนังที่มีบทพูดปะทะคารมกันเยอะๆ หรือหนังที่มีศัพท์ทางการเยอะ เอาเป็นว่า ในระดับเริ่มต้น เลือกหนังที่ง่ายๆไว้ก่อน พอเริ่มพอได้แล้วจะเพิ่มระดับความยากก็ไม่ว่ากัน

4. อ่านเรื่องย่อ / tagline สั้นๆ ของหนังก่อนดู 

เพื่อให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับหนังมากขึ้น เวลาดูจะได้ไม่งงมาก และจับประเด็นได้ถูก ก็ควรจะรู้เรื่องราวคร่าวๆของหนังสักนิด ทั้งนี้ทั้งนั้น จะฝึกฟัง soundtrack แล้วก็ควรอ่านเรื่องย่อเป็นภาษาอังกฤษด้วยเลย เข้าเวป IMDB แล้ว search ชื่อหนังโลด

4. ดูผ่านเครื่องเล่นที่สามารถกรอไปมาได้ง่าย

เช่นการดูผ่านคอม ซึ่งจะง่ายกว่าดูผ่านเครื่องเล่น DVD  เพราะดูผ่านคอมสามารถหยุดหรือกรอหนังได้ง่ายกว่าดู เวลาเจอคำศัพท์หรืออยากจะกรอกลับมาดูใหม่ก็ทำได้ง่ายกว่า แต่ถ้าจะลองของ ดูหนัง soundtrack ในโรงก็สามารถทำได้ ถ้าท่านมีเลเวลมากพอ เพราะการดูหนังเสียง soundtrack ย่อมดีกว่าการดูพากย์ไทยแน่นอน ตามที่ผมเคยโพสไว้ก่อนหน้านี้

5. เริ่มดูหนังได้

สำหรับคนที่อยากฝึกแบบจริงจัง และยังมือใหม่อยู่ ก็ตามนี้เลยครับ เรื่องนึงควรดูสามรอบเป็นอย่างน้อย
  • ถ้าเพิ่งดูรอบแรก และอยากดูแบบมันๆ กลัวดูไม่รู้เรื่อง ก็ดูพากย์ไทยก่อนก็ได้ อนุโลม 
  • แต่ถ้าดูรอบแรก และมีความมั่นใจในภาษาอังกฤษระดับนึง ก็ดูแบบเสียง soundtrack ไปเลย และเปิดซับไทย รอบนี้ ดูแบบไม่ต้องหยุดนอกจากว่าอ่านซับไม่ทัน การดูในรอบนี้เป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างภาษาอังกฤษกับเนื้อเรื่อง
  • เริ่มดูรอบสอง ดูเสียง soundtrack และ sub title ภาษาอังกฤษ การดูรอบนี้จะเป็นการเก็บรายละเอียดว่าในเนื้อเรื่องพูดว่าอะไร ตรงกับที่เราคิดตอนแรกไหม มีคำศัพท์อะไรใหม่ๆมั่ง จดมันลงไปเพื่อนำไปค้นหาต่อว่าคำศัพท์หรือประโยคใหม่ๆแปลว่าอะไร และเอาไปใช้ยังไงได้บ้าง รอบนี้สามารถพอสหนังกรอกลับไปกลับมาได้ตามสบาย แต่สำหรับคนที่ไม่จริงจังมาก ก็อาจจะไม่จด แต่อาศัยจำเอาว่าในหนังพูดว่ายังไง
  • ดูรอบสาม ดูเสียง soundtrack สดๆแบบไม่มี sub title เป็นการฝึกให้สมองเราประมวลผลภาษาอังกฤษที่ได้ยิน แบบตรงๆ โดยไม่ผ่านการแปลในใจและอ่านซับ เป็นสร้างความคุ้นเคยให้กับเราในรูปประโยคต่างๆ
สำหรับคนที่ไม่มีเวลามากพอที่จะดูหลายๆรอบ และยังอยากจะดูหนังให้รู้เรื่องอยู่ แต่ก็อยากฝึกภาษาอังกฤษไปด้วย ก็อาจจะฟังเสียง soundtrack แล้วเปิด sub ไทย ดูแค่รอบเดียวรู้เรื่อง ไม่กลับมาดูอีก และไม่ได้จดบันทึกความรู้ใหม่ๆไว้ ก็สามารถทำได้ครับ แต่ก็จะไม่ effective เท่ากับการดูหลายๆรอบ อาจจะ search หาคลิปฉากที่เราชอบสั้นๆใน YouTube มาเปิดฟังทีหลังก็ได้

หรือท่านอาจจะอาศัยการดู series ฝรั่งแทน แรกๆก็ดู sound track / sub ไทย พอรู้เรื่องบ้างแล้ว ว่าตัวละครไหนมีทุ้มเสียงยังไง นิสัยใจคอยังไง พอที่จะจับทางได้ ก็เปลี่ยนเป็น sub Eng และถ้าคล่องแล้วก็ดูแบบไม่มี sub ก็ได้ครับ

6. ติดตามผล

ดูหนังเสร็จ ถ้าหนังสนุกและชอบ ให้ค้นคว้าเพิ่มเติมอีกนิดนึง เช่น เปิดดูประโยคหรือ quote ตอนที่เราชอบ ในเวป IMDB แล้วดูว่าพูดว่าอะไร ถ้าจะให้ดี ให้ search หาคลิปใน YouTube ที่ตรงกับฉากนั้นด้วย แค่นี้เราก็ได้คลิปสั้นๆ เอาไว้ฝึกฟังและพูดตามได้ ส่วนตัวคิดว่าเราควรดูหนังอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งเรื่อง เพื่อไม่ให้ลืมเพราะว่าทิ้งช่วงนานเกินไป และจะดีมากๆ ถ้าเรามีเวลาที่จะฟังภาษาอังกฤษทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเพลง หนัง หรือที่ทำงาน สำหรับผมแล้ว ทุกวันผมจะฟัง podcast เดินระหว่างเดินทางไปทำงาน ซึ่งมีอยู่ 2 ที่ที่ผมฟังประจำเลย ที่แรกคือ English as a second language podcast ฟังง่ายมากๆ และอีกที่คือ The English We Speak ของ BBC ตัวนี้ผมฟังไม่เบื่อเลย เพราะมุกของรายการ ตลกดี ลองดูครับ ช่วยได้เยอะมากๆ ที่ต้องมีก็แค่ smart phone สักเครื่องกับ app podcast สักตัว แค่นี้ก็ฟังจนเบื่อแล้วครับ ฮ่าๆๆ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
มาฝึกภาษาอังกฤษผ่านหนัง ต้อนรับ AEC กันเถอะครับ


Wednesday, October 8, 2014

6 เหตุผล ที่ทำไม ฝึกภาษาอังกฤษ จากหนัง จึงได้ผลกว่า ฝึกจากหนังสือ

6 เหตุผล ที่ทำไม ฝึกภาษาอังกฤษ จากหนัง จึงได้ผลกว่า ฝึกจากหนังสือ

เวลาเราเรียนหรือฝึกภาษาอังกฤษจากการอ่านหนังสือ พออ่านไปสักพักเราก็คงรู้สึกเบื่อ แล้วมันจะมีทางไหนที่ทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างไม่เบื่อบ้าง หนึ่งในนั้นคือการดูหนังยังไงล่ะ การฝึกภาษาอังกฤษจากการดูหนังเป็นหนึงในวิธีที่จะทำให้ภาษาอังกฤษเราก้าวหน้าแบบกก้าวกระโดด การดูหนัง มันก็สนุกอยู่แล้ว และมันจะดีมากๆถ้าเราจะสนุกไปด้วย และเรียนรู้ภาษาอังกฤษไปด้วย และนี่ คือ 6 เหตุผล ที่ทำไมการฝึกภาษาอังกฤษจากหนัง ถึงได้ผลกว่า การฝึกจากหนังสือ เหตุผลเหล่านั้น มีอะไรบ้าง มาดูกัน


1. เพราะการดูหนังมันสนุกกว่าเห็นๆ

การเรียนรู้ไปพร้อมๆกับความสนุก ย่อมดีกว่าเรียนรู้แบบน่าเบื่อเสมอ ยิ่งถ้าได้ดูหนังที่ชอบแล้วด้วย ชนิดที่แบบจำได้ทุกอารมณ์และคำพูด ก็ยิ่งเรียนรู้ได้เร็ว และทำให้เราจำรูปแบบประโยคได้ว่า อารมณ์แบบนี้ เราเอาคำพูดเท่ๆแบบนี้มาพูดได้นะ ยกตัวอย่างเช่น ผมชอบหนังเรื่อง Fight Club มากๆ ผมดูเป็นสิบๆรอบ ผมก็จะจำได้อย่างแม่นยำ อย่างเช่น คำพูดในฉากตอนที่ Tyler Durden (รับบทโดย แบรทพิต) ขอให้เอ็ดเวิร์ดนอตัน ต่อยเต็มแรง

"I want you to do me a favor. I want you to hit me as hard as you can."

ต่อไปเวลาผมจะขอให้คนอื่นช่วยทำอะไรให้แกมๆบังคับ ผมก็ใช้คำนี้ได้ "I want you to do me a favor."

การดูหนังที่สนุกและตัวเองชอบ จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้เร็วขึ้นจริงๆ เมื่อเทียบกับการอ่านหนังสือ


2. ภาษาในหนัง คือภาษาที่ใช้ในชีวิตจริง

ในหนังสือเรียน บางทีจะเจอคำศัพท์หรือประโยคโบราณๆที่คนสมัยนี้เขาไม่ค่อยพูดกันแล้ว อย่างเช่น
"it’s a quarter to seven" or "it’s raining cats and dogs". แต่ถ้าในหนัง เราจะได้สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ภาษาที่คนใช้พูดกันจริงๆ

3. ได้รู้ความหมายของคำศัพท์ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะคำแปล

เวลาเรียนในห้องเรียน อาจารย์ให้การบ้าน แปลคำศัพท์จากหนังสือ เราก็จะได้แต่แค่คำแปล แต่เราจะนึกไม่ค่อยออกว่า เราจะนำไปใช้ที่ไหน ใช้ยังไง แต่ถ้าในหนัง เราจะรู้ถึงบริบทของคำนั้นๆ รู้ว่าใช้คำนั้นยังไง และใช้เมื่อไหร ยิ่งถ้าดูหนังแนวเดิมๆบ่อยๆ เช่นหนังแนวสืบสวนสอบสวน ก็จะรู้คำศัพท์ และบริบทของคำนั้นๆมากขึ้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าเราเพิ่งรู้ศัพท์ใหม่แบบที่ไม่เคยรู้มาก่อน อย่างคำว่า Detective ที่แปลว่า นักสืบ ร้อยทั้งเก้าสิบเก้าจุดเก้าๆ พอเปิดดิกเสร็จ รู้ความหมายละ แต่ไม่เคยได้ใช้เลย เดี๋ยวก็ลืมคำศัพท์คำนี้
แต่ถ้าเป็นหนังนะ ดูหนังสองสามเรื่องเกี่ยวกับสืบสวนสอบสวนก็พอจะรู้แล้ว Detective แปลว่าอะไร เราสามารถใช้ได้หลายรูปแบบ ทั้งใช้นำหน้าชื่อได้ เช่น Detective Loki จากหนังที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องการลักพาตัวเด็กอย่างหนังเรื่อว Prisoners หรืออาจจะใช้เป็นคำนามบอกอาชีพก็ได้ เช่น He's a detective

และสิ่งที่สำคัญเลย คือรู้ว่า นอกจากรู้ว่า Detective แปลว่าอะไรแล้ว ยังรู้ว่าทำอะไรบ้างอีก อย่างเช่นสุดยอดหนังเรื่อง Seven ที่ แบรดพิทและมอร์แกนฟรีแมนแสดงเป็นนักสืบ

เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว (Killing two birds with one stone.) แบบนี้หนังสือทำไม่ได้นะอิอิ

4. ได้อารมณ์

มีคนบอกว่า อารมณ์ของข้อความที่เราได้ยินนั้น 30% มาจากคำศัพท์หรือข้อความที่เราใช้ แต่อีก 70% ที่เหลือคือ มาจากบริบทต่างๆของผู้พูดเช่น พูดยังไง ยิ้มไหม น้ำเสียงเป็นอย่างไร เสียงดังหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบอกได้ด้วยหนังสือเรียน

5. ได้คำคม/คำพูดเท่ๆเอาไปใช้ได้ ในแบบที่จำได้แน่นอน

หนังหลายๆเรื่องมักจะมีคำคม และให้ข้อคิดกับเราเสมอ เราสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากคำคมเหล่านั้นได้ หรือนำคำคมเหล่านั้น มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันเราก็ยังได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครเคยดูเรื่อง Spider Man และชอบเรื่องนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก คำคมคำนี้ ผมสามารถเอาคำคมนี้ไปใช้พูดตอนที่ต้องรับผิดชอบงานอะไรที่มันใหญ่โตได้ ฮ่าๆ
"With great power comes great responsibility"
"อำนาจที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง"
หรือหนังเรื่อง Fast & Furious 6 ผมก็ได้ข้อคิดและคำคมมา
"Every man has to have a code"
"เป็นลูกผู้ชายจำเป็นต้องมีหลักการ"
หรืออย่างเช่น ผมชอบดู series เรื่อง Law and Order หนังสืบสวนสอบสวน ทุกๆครั้งที่ก่อนที่หนังจะฉาย จะมี intro ตัวนี้มาก่อน ผมก็ฟังจนจำได้
"In the criminal justice system, the people are represented by two separate yet equally important groups. The police who investigate crime and the district attorneys who prosecute the offenders. These are their stories."

6. เกิดการต่อยอด

เวลาดูหนังที่เราชอบ นอกจากได้ความสนุกแล้ว ผลพลอยได้อีกอย่างที่ได้จากการดูหนังที่ตัวเองชอบและรู้สึกสนุกคือ การค้นหาข้อมูลเชิงลึกของหนังต่อ ซึ่งแน่นอน เราใช้ google ในการค้นหา และผลจากการค้นหาแหล่งที่มา มันก็เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น หาเพลงที่อยู่ในหนัง หาประวัติ หาที่มาที่ไป หาคนที่คิดเหมือนเรา หารูป หาบทสรุป หาทุกอย่างที่อยากหา ซึ่งทำให้เกิดการต่อยอดแบบไม่รู้จบ
ยกตัวอย่างเช่น ผมดูหนังเรื่อง Warm Bodies รู้สึกว่าเพลงในหนังเพราะมาก ผมก็เซิชหาเพลง ได้เพลงมาสิบกว่าเพลง เปิดฟังจนร้องได้ เฉพาะเพลงนี้ ผมก็ได้ฝึกฟังภาษาอังกฤษเพิ่มอีกหนึ่งเพลงละครับ นี่ล่ะครับ การต่อยอด


ลองคิดดู ถ้าเราแค่อ่านหนังสือ การต่อยอดมันคงไม่เยอะเท่ากับการดูหนังเรื่องนึงอ่ะเนอะ

~~~~~
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าการการฝึกภาษาอังกฤษจากการอ่านหนังสือไม่ดี ทุกอย่างล้วนมีข้อดีของมันหมด แต่การฝึกภาษาอังกฤษจากการดูหนัง soundtrack นั้น ช่วยในเรื่องการฟังได้มาก พอฟังได้แล้วการพูดก็จะตามมา เพราะเราเลียนแบบจากการฟัง เหมือนเด็กนั่นแหละครับที่ฟังก่อน ค่อยพูดเป็น นี่คือพื้นฐานสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญมากที่สุดเลยคือ ความตั้งใจและความสม่ำเสมอ แรกๆ อาจจะยาก แต่เชื่อเถอะครับ สักวันนึง คุณจะฟังแล้วแทบไม่ต้องประมวลผลอะไรเลย เพราะฉะนั้น มาเริ่มดูหนัง Soundtrack กันดีกว่าเนอะ ถ้าใครยังไม่รู้ว่า ทำไมเราควรดูหนัง เสียง soundtrack มากเสียงพากย์ไทย ผมเคยเขียนไว้แล้ว ที่นี่ครับ ไว้ว่างๆจะมาเขียนต่อนะครับ ว่าวิธีฝึกภาษาอังกฤษจากหนัง soundtrack จะฝึกยังไงดี คอยติดตามนะครับ วันนี้ลาก่อน สวัสดีครับ