Pages

Wednesday, August 14, 2013

G.I. Joe: Retaliation (2013)

G.I. Joe: Retaliation (2013)

จี ไอ โจ๊ก

เกริ่น

หนังตระกูล G.I. Joe มีมาแล้ว 2 ภาค - ภาคแรกชื่อ G.I. Joe: The Rise of Cobra ปี 2009 มาปีนี้กลับมาอีกครั้งในชื่อ G.I. Joe: Retaliation ซึ่งคำว่า retaliation แปลว่า การแก้แค้น การตอบโต้ การแก้เผ็ด ซึงน่าจะหมายถึงการกลับมาแก้แค้นของกลุ่มก่อการร้าย Cobra

###### SPOILED ALERT / มี สปอยล์ ยังไม่ดู อย่าเพิ่งอ่าน ######

My Review

  • ต้นเรื่องหนังพยายามปูทางให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง กับตัน Duke หัวหน้าทีม G.I. Joe กับ Roadblock ผู้เป็นทั้ง ลูกน้อง เพื่อนสนิท ไม่แน่ใจว่า ในภาคหนึ่งทำได้ดีแค่ไหน แต่สำหรับการปูเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ผ่าน เพราะ ตอน Duke ตาย ก็ไม่ได้ซึ้งอะไรเลย  (แต่แอบตลกตอน Duke เล่นเกมส์กับ Roadblock Roadblock ด่า Duke ว่าแค่เล่นเกมทหาร ยังไม่เป็นเลย ตัวหมุนติ้วๆ แล้วของจริงจะไปไหวหรือ )
  • Theme หนังดูคล้ายๆ Mortal Combat แต่ก็ไม่เชิง หรือยิงกันมันส์แบบ Black Hawk Down ก็ไม่ใช่ เนื้อเรื่องก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร  ตอน Storm Thunder รู้ตัวว่าถูกหลอกใช้ หนังแทบไม่ได้ให้คำใบ้อะไรเลยกับคนดู พอดาบหักปุ๊บ อาจารย์ตาบอด (Blind Master) รู้ทันที ไม่เนียนๆ
  • ฉากต้นเรื่อง ที่ทีม G.I. Joe บุกฐานทัพทหารเกาหลีเหนือ ไม่มีประเด็นอะไรเลย นอกจากเปิดตัว ซึ่ง กิ๊กก๊อก มาก อีกฉากคือฉากปล้นนิวเคลียร์ ที่แสนจะธรรมดา คนร้าย วิ่งทื่อๆ มาให้กลุ่ม G.I. Joe ยิง เล่นๆ เท่ห์ๆ 
  • ฉาก ช่วยตัวร้าย Cobra Commander หัวหน้าผู้คุม ชอต Storm Shadow ได้ มีโอกาสยิง แต่ไม่ยิง กลับวิ่งหนี หางจุกตูด 
  • Storm Shadow ไปรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ที่เทือกเขาสูง ปกคลุมด้วยหิมะ หมอแม่เหมือนจะรักษาด้วยไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่ใช่ จะวิทยาศาสตร์ก็ไม่เชิง ตลกดี
  • ฉาก ปธน สหรัฐ ร่วมประชุมกับ ผู้นำ 8 ประเทศมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ เพื่อหารือเรื่องการลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่เจอ surprised จากประธานาธิบดีสหรัฐปลอม เข้าไป ยิงนิวเคลียร์ถล่มทุกประเทศแม่มเลย แล้วหลอกล่อให้ประเทศที่เหลือ ยิงด้วย เรียกว่า เปิดสงครามกันเลยก็ว่าได้ ต่างคนต่างมี กระเป๋าเดินทาง เอาไว้กดปุ่มยิง จะเหลือหรอครับ ต่างคนต่างยิง มีเท่าไหร ใส่ให้หมด แล้วทันใดนั้น ปธน สหรัฐ ปลอม surprised อีกครั้ง ด้วยการกดทำลายระเบิดนิวเคลียร์ตัวเอง แล้วบอกคนอื่นว่า พวกเอ็งจะยอมให้โลกถูกทำลายหรอ กดทำลายระเบิดด้วยสิโว้ย และแล้วทุกคนก็ทำลายนิวเคลียร์ของตัวเองหมด อะฮ้า คราวนี้โลกก็ปลอดอาวุธนิวเคลียร์แล้ว เป็นแผนที่สุดยอดมากๆๆๆ ( ไม่รู้ว่า ผกก ตั้งใจให้ฉากนี้ดูซีเรียส ตื่นเต้น เร้าใจ หรือตลกกันแน่ เพราะผมอดหัวเราะไม่ได้เลยกับฉากนี้ หรือเจตนาจริงๆอาจจะเป็นมุกตลกร้าย ก็ได้ )
  •  ไอ้ ปธน ปลอม ที่แปลงโฉมได้ ไอ้เราก็นึกว่า จะแปลงโฉมเป็นคนอื่น เพื่อหลบหนี แต่ดันมาตายโง่ๆซะนี่ เข้าข่าย ผู้ร้าย ดีแต่พูด 

สรุป

เป็นหนัง action ฟอร์ม ยักษ์ ที่ธรรมด๊า ธรรมดา ออกแนวห่วยด้วยซ้ำไป เนื้อเรื่อง ฉากบู้ ความตื่นเต้น เร้าใจ ไม่มี จะทำเท่ห์แต่ดันไม่เท่ห์ หลายๆเรื่องหลายๆฉาก ไม่ make sense เอาซะเลย ตลกซะมากกว่า เอาไป 4/10 - ไม่แนะนำให้ดู ขึ้นทำเนียบ เข้าชิง หนังยอดแย่แห่งปี 

Tuesday, August 6, 2013

5 เหตุผล ที่ควรดูหนัง เสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย

5 เหตุผล ที่ควรดูหนัง เสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย

ที่มารูป : ใน internet

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะหนังในโรง หรือหนังแผ่น คนดูสามารถเลือกได้ว่าจะดูหนังด้วยเสียง soundtrack (เสียงต้นฉบับของหนัง) หรือเสียงพากย์ไทย แต่ละคน ก็มีเหตุผลไม่เหมือนกัน แต่นี่คือ 5 เหตุผล ที่ควรดูหนังเสียง soundtrack มากกว่าเสียงพากย์ไทย

1. เพราะ soundtrack คือเสียงต้นฉบับ

เสียงก็ถือเป็นการแสดงอย่างนึง พากย์ไทยถึงแม้จะพากย์ดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถสื่อถึงอารมณ์ที่ออกมาจากเสียงต้นฉบับได้ ทุกๆอารมณ์ที่ผ่านจากเสียงของตัวละคร จะไม่ถูกแปรสภาพ เหมือนเดิมทุกอย่าง ทุกอย่างที่ผู้กำกับอยากได้และต้องการที่จะสื่อ มันอยู่ในเสียงนั้นแล้ว เสียงหล่อๆของพระเอก ทอมครูซ เสียงเล่าเรื่องที่มีเอกลักษณ์และทรงพลังมากที่สุดอย่าง มอร์แกน ฟรีแมน   คุณจะไม่พลาดเสียงเหล่านี้เลย ถ้าคุณฟังเสียงต้นฉบับ

2. พากย์ไทย ชอบเติมแต่ง พากย์คนละอารมณ์กับเสียงต้นฉบับ

หนังบางเรื่อง ไม่ได้เป็นหนังตลก แต่พากย์ไทยซะกลายเป็นหนังตลกเลย บางฉากถ้าดูหนังเสียงต้นฉบับ อย่างลุ้น แต่ถ้าดูพากย์ไทย อารมณ์ลุ้น มันถูกกลบด้วย เสียงพากย์ที่พูดติดตลกตลอด ทั้งๆที่ตัวร้าย น้ำเสียงน่ากลัวโคตรๆ สิ่งที่พากย์ไทย โดยเฉพาะทีมพากย์พันธมิตร ชอบเติมแต่งเข้าไปมากสุดคือ เสียงพูดติดตลกจาก คนรอบข้างแบบไม่ได้รับเชิญ ใช่ มันทำให้หนังมีสีสันขึ้น แต่บางทีมันก็ไม่เข้ากับอารมณ์หนังตอนนั้นเลย

3. พากย์ไม่ดี

ลองนึกถึงพระเอกหน้าโหดๆ แต่เสียงดันโคตรหล่อ หรือพระเอกที่หน้าหล่อๆ แต่เสียงแหบ จำได้ไม่ลืมเลยครับ พากย์ไทยเรื่อง MI4 คนพากย์ Tom Cruise เสียงแหบและเบามากๆ มีแต่คนบ่น หรือการพากย์ที่ไม่ตรงกับความหมายของหนังจริงๆ นึกตัวอย่างไม่ออก แต่มีแน่นอน

4. พากย์ไทย ตัดเสียง รอบข้างออก

แต่ก่อน ถ้าดูพากย์ไทย เวลามีเสียงพากย์ เสียงรอบๆข้าง เสียงนกเสียงกาที่อยู่ในฉาก จะเบาๆลง เพื่อหลีกทางให้เสียงพากย์ แต่ด้วยเทคโนโลยี เดี๋ยวนี้คงไม่ค่อยมีแล้วมั้ง ที่จะพากย์ทีต้องตัดเสียงในฟิล์มออกทั้งหมดแล้วค่อยพากย์ ถ้ามีก็คงจะเป็นพวกพากย์ผี มาก่อนหนังเข้าโรง

5. ได้ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัว

นี่คือเหตุผลหลัก ของการดูหนัง soundtrack ของใครหลายๆคนรวมถึงผมด้วยก็ว่าได้ ในชีวิตประจำวันเราๆ จะมีโอกาสได้ฟังภาษาอังกฤษกันมากสักเท่าไหรเชียว การดูหนัง soundtrack จะทำให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงและเสียง รู้ศัพท์ รู้สำนวน คำพูดที่จะพูดในสถาณการณ์ต่างๆ เป็นการฝึกภาษาอังกฤษที่ไม่น่าเบื่ออีกรูปแบบนึง


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน และหนังบางเรื่อง เช่น ถ้าต้องการดูหนังแบบไม่คิดอะไรมาก หนังจีน หนังเกาหลี หนังฮ่องกง ตลกๆ ฮาๆ ไม่เน้นเนื้อเรื่อง ก็ดูพากย์ไทยจะดีกว่า  เพราะมันฮากว่าแน่นอน หรือหนังที่เนื้อหาแน่นๆ บทพูดเยอะๆ เร็วๆ ก็ดูพากย์ไทยดีกว่า เพราะไม่ต้องคอยชำเลืองอ่านซับ และจะได้ดูรู้เรื่อง
หรืออาจจะแล้วแต่โอกาส และเวลา เช่น ดูกับพ่อแม่พี่น้อง ก็ต้องดูพากย์ไทย เพราะคนอื่นไม่อยากอ่านซับ หรือถ้าดูในโรง สตอปหรือรีกลับไปดูไม่ได้ ก็ดูพากย์ไทย ถ้าดูผ่านแผ่น DVD Bluray กรอไปมาได้ ก็ดู soundtrack

ส่วนตัว ประเด็นการฝึกภาษาอังกฤษและอรรธรสในการดูหนัง เป็นประเด็นหลักที่จะพยายามดูหนังทุกเรื่องด้วยเสียง soundtrack ถึงแม้ว่าวันนี้ผมยังต้องพึ่ง ซับไทยอยู่บ้าง แต่ก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนไม่ต้องพึ่งซับอีกต่อไป และพยายามทำให้การฟัง/พูดภาษาอังกฤษกลายเป็นเรื่องธรรมดา โดยไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกเลย สำหรับคนที่ยังไม่เคยลอง ผมว่ามันคุ้มที่จะลองนะครับ คุณว่าไหม :'P

Sunday, August 4, 2013

Oblivion (2013)

Oblivion (2013)
ชื่อไทย : อุบัติการณ์โลกลืม

เกริ่นๆ

เคยดูตัวอย่างเรื่องนี้แบบสั้นๆ หน้าโรงหนังก่อนดูเรื่องพี่มาก พระโขนง จำฉากบนโปสเตอร์ได้ มีแค่ทอมครูส กับโลกที่สภาพพังพินาศ และยานบินในอนาคตคล้ายๆแมลงปอ น่าดูมากๆ แต่พอได้ดูจริงๆ ความสนุกกลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ อาจเป็นเพราะคาดหวังไว้สูงเกินไป ปล. Oblivion เป็นคำนาม แปลว่า การลืม หรือ การถูกลืม ในที่นี้อาจจะหมายถึง ตัวละครชื่อ Jack (พระเอกรับบทโดยทอมครูซ) หรือ โลกทั้งโลกก็ได้

เรื่องย่อ

ในปี 2077 โลกอยู่ในสภาพล่มสลาย หลังจากการทำสงครามระหว่างกลุ่มมนุษย์ต่างดาว Scavs กับโลก โลกได้รับชัยชนะ แต่สภาพของโลกย่ำแย่เกินกว่าที่จะอยู่อาศัยได้ มนุษย์ย้ายไปอยู่ที่ดวงจันทร์ Titan (ดวงจันทร์บริวารของดาวเสาร์) Jack Harper (รับบทโดย Tom Cruise ) และ Victoria (รับบทโดย Andrea Riseborough)  เป็นมนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่ยังอยู่บนโลก พวกเขาได้รับมอบหมายให้ปกป้อง Hydro Rigs - เครื่องจักรที่ดูดน้ำทะเลของโลกเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ในอาณานิคมใหม่ ความอยู่รอดของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพลังงานเหล่านี้ อีก 2 อาทิตย์เท่านั้น ที่ภารกิจของพวกเขาจะลุล่วง และพวกเขาก็จะได้กลับบ้าน(ใหม่) สักที

##### Spoiled Alert #####

My Review

Oblivion - เพื่อมนุษยชาติ หรือเพื่อใคร ???

เป็นหนังฟอร์มยักษ์ ที่ผมผิดหวังอีกเรื่อง เพราะดูจากพระเอกร้อยล้านอย่างทอมครูซ และ เรื่องราวต่างๆ ในตัวอย่าง โปสเตอร์ เนื้อเรื่องความเป็นมา หรือการหักมุม ทำให้หนังดูดีมีชาติตระกูล แต่กลับทำออกมาได้ไม่ถึงพริกถึงขิงเลย บางตอนทำเอาผมเผลองีบไปเลยก็มี 

การหักมุมของหนังในส่วนของมนุษย์โคลน ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Moon ขึ้นมาทันที แต่เรื่อง Oblivion ยังห่างไกลนัก ความอึ้ง และ wow moment สู้เรื่อง Moon ไม่ได้ เป็นเพราะ Oblivion ไม่ได้ใส่เนื้อเรื่องให้กับ clone มากนัก หนังโฟกัสไปที่ Jack T49 คนเดียวซะมากกว่า

The Tet คืออะไร - Tet คือ วัตถุต่างดาวที่ถูกพบโดยบังเอิญโดยยานสำรวจซึ่งกำลังเดินทางไปดวงจันทร์ Titan (อยู่ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ Titan) NASA เลยปลุก Jack กับ Victoria ขึ้นมาก่อน เพื่อเปลี่ยนเป้าหมายของภารกิจไปสำรวจ วัตถุต่างดาวแทน แต่ยานเหมือนถูกดูด เข้าไป Jack ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเลย สละลูกเรือที่เหลือที่ยังนอนหลับในตู้แช่อยู่ และพวกเขาก็โดนดูดไป โดนทำเป็นร่างโคลน มาบุกโลก เรื่อง เอเลียน Scavs บุกโลกเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาจาก Tet ทั้งสิ้น จริงๆแล้ว Tet นั้นแหละบุกโลกเอง ลบความจำของ Jack ออกโดยอ้างว่าเหตุผลเรื่องความปลอดภัยของภารกิจ สรุปคือ Tet ไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาว แต่เป็น AI ขั้นสูง คิดเอง ทำเองได้ คล้ายๆเรื่อง I-Robot 

สิ่งที่ไม่ชอบ

  • หนังมุ่งประเด็นไปกับ Jack กับ Julia มากเกินไป จนทำให้รายละเอียดอื่นๆในเรื่อง ที่ควรจะมีดันไม่มี เช่นเรื่องราวเกี่ยวกับ Scavs - ว่าพยายามอะไรไปบ้างใน 50 ปี ไปไงมาไง ทำเป็นภาพย้อนอดีตอะไรก็ได้ นี่มีแค่ มอร์แกน ฟรีแมน มาพูดไม่กี่ประโยค รู้สึกมันไม่เติมเต็ม plot ที่มันว่างๆอยู่เลย
  • Jack กับ Julia ไม่ซึ้งเลย - ส่วนตัวคิดว่า  ไม่มี Julia หนังก็ยังทำให้สนุกได้ แต่หนังก็ยังใส่มา และคนดู (อย่างผม) ไม่ได้รู้สึกอินไปกับการเสียสละ หรืออะไรเลย มันแปลกๆเหมือนกันนะ ที่ Julia ตื่นจากเครื่องหลับเย็น มาเจอ Jack แต่ดันไม่พูดหรือไม่ถามอะไรเลย ใช่ เธออาจจะไม่ไว้ใจ Jack แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำ บทให้ดูเธอฉลาดกว่านี้หน่อย ไม่ใช่ นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย 
  • ทำไมพวก Scavs ไม่บอก Jack ตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนไว้ที่ Drone ตอน Jack มาซ่อมหรืออะไรก็ได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ Alien แต่จริงๆแล้วคือมนุษย์เหมือนกัน 
  • เพลง หรือ เสียงประกอบ แต่ละฉาก ดูแปลกๆ ไม่ค่อยเข้าเท่าไหร
  • ถ้าตัวละครไหนเล่าเรื่องอดีตหรือกำลังเผยปมอะไรบางอย่าง ทำ flash back ให้เห็นนิดนึงก็ยังดี
  • Tag line ของหนังที่บอกว่า Earth is a memory worth fighting for แต่เท่าที่ดู เนื้อเรื่อง ความหนักแน่น มันยังไม่ support tag line นี้ซะทีเดียว เพราะ พระเอก Jack ก็ไม่ค่อยได้สู้อะไรเท่าไหร - สู้กับหุ่น Drone 2 ฉาก + ยอมตายเพื่อทำลาย Tet
  • Dialogue ไม่เนียบ
  • ฉากแอคชั่นธรรมดา

สิ่งที่ชอบ

  • ภาพสวย
  • เนื้อเรื่องน่าสนใจ

อื่นๆ 

ดูรอบสอง + ไปอ่านตามเวปบอร์ดมา เจอข้อมูลที่มาปิดรูรั่วที่คิดไว้ตอนดูครั้งแรก

ถาม : ทำไม Tet ถึงต้องการ ตัว Jack กับ Julia ทำไมไม่ฆ่าทั้งคู่เลย
ตอบ : เพราะ Victoria บอก Tet ว่า เราไม่ใช่ effective team อีกต่อไป แล้ว Victory เลยโดนฆ่า Tet ต้องการ Julia กับ Jack มากกว่า , Jack ย้ำประเด็นนี้อีกครั้งด้วยการพูดว่า We are...a more effective team. 

ถาม : Tet ดูดน้ำทะเลไปทำอะไร
ตอบ : เอาไปทำระเบิด/แหล่งพลังงานโฮโดนคาร์บอน

ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับ Jack / Victoria ตัวจริง
ตอบ : ไม่รู้ หนังไม่ได้บอก แต่หลังจากนั้น จากที่ มอร์แกน ฟรีแมนเล่า โลกโดนบุกด้วย clones Jack นับพันๆตัว และเวลาในปัจจุบัน คือ phase 2 Tet ส่ง Jack มาซ่อมหุ่นพิฆาต Drone

ข้อคิด / สิ่งที่ได้จากเรื่อง / Quotes

  • สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
  • เวลาได้รับมอบหมายภารกิจอะไร อย่าสักแต่ว่าทำ ต้องหัดตั้งคำถามในใจด้วย ว่าสิ่งที่ทำ มัน make sense หรือปล่าว
  • Are you an effective team? - We are an effective team - We are a more effective team.
  • วิธีถาม-ตอบ สารทุกข์ สุกดิบ แบบเก๋ๆ
How are you all doing this lovely morning?
Another day in paradise, Sally.
  • Jack Harper: How can a man die better...

สรุป

เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่น่าจะทำได้สนุกกว่านี้ ตัวละคร Julia ไม่มีก็ได้ บางฉากดูแล้วง่วงนอน หักมุมสองครั้งแต่ไม่ตราตรึงใจ ให้ 6/10

Saturday, August 3, 2013

เดี่ยว 10 : What I got more than funny JOKEs


โนต อุดม ยังรักษามาตรฐานเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยมในเดี่ยว 10 ทั้งเรื่องความฮาแบบเป็นธรรมชาติ คำพูดที่ลื่นไหล การเลียนเสียง ท่าทาง สีหน้า เนียนมากๆ การหยิบจับประเด็นในสังคมมาพูดแบบฮาๆเสียดสี หรือประสบการณ์ชีวิตที่เฮียแกได้เรียนรู้ เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เรามองข้าม แกเอามาพูดได้หมด ยิ่งถ้าคนฟังเกิดในยุคเดียวกับเฮียแกแล้ว จะเข้าใจอารมณ์ที่เฮียแกพูดได้อย่างดี

แต่นอกเหนือจากความฮาแบบท้องแข็งที่ได้รับกันถ้วนหน้าแล้ว สิ่งที่ผมรู้สึกได้ใน เดี่ยว 10 หรือเดี่ยวภาคหลังๆมานี้ โนต อุดม จะแฝงข้อคิด หรือ นัยยะ ต่างๆเกี่ยวกับประเทศไทยไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม ปัญหารัฐบาล ปัญหาต่างๆอะไรที่ควรจะแก้แต่ไม่แก้ พฤติกรรมแบบไทยๆ กัดความเป็นไทยได้แสบๆคันๆ สะดุ้งกันทั่วหน้า คำว่า Thailand Only ที่พูดกันติดๆปากใน social network ก็มาจากเฮียแกนี่แหละ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน รู้สึกกันทุกคน ผมว่าทีแกเอาเรื่องพวกนี้มาพูด นอกจากว่า มันจะทำให้คนดูชอบ คล้อยตาม และฮาแบบไม่ต้องเกริ่นอะไรมากแล้ว ผมเชื่อว่าแกคงอึดอัดไม่น้อยกับความเป็นสถานการณ์บ้านเมืองเราตอนนี้และแกก็รู้ว่า คนอื่นก็รู้สึกเหมือนๆกัน

ยกตัวอย่างเช่น เพลง AEC ที่เฮียแกเอามาร้องในแบบแรพ โดนเต็มๆ ฮาแบบเสียดสีสังคม เจ็บทีเดียว จะเรียกว่าเป็นตลกร้าย ก็ได้มั้งครับ ประชดประชัน จี้จุด คนไทยเต็มๆ โดยเฉพาะ หน่วยงาน รัฐบาล ที่มีหน้าทีออกนโยบายอะไรทั้งหลายแหล่ แต่ไม่ค่อยจะได้เรื่องเลย ลองอ่านดูครับ ประกอบกับเสียงดนตรีประกอบในใจ

AEC มันคืออะไร ยังไม่เข้าใจ มาจนถึงวันนี้
เปิดเนตเข้าไปหาความหมาย เนตก็ช้าชิบหาย หลุดทุกห้านาที
Asian Economic รวบรวมสมาชิก เป็น Community
ลาว พม่า กัมพูชา สิงคโปร์ อินดง อินโด มาเล ก็มี 
เวียตนาม ฟิลิปปินส์ บรูไน รวมกับ พี่ไทย ก็สิบประเทศพอดี
จะมัดรวมกันเพื่ออะไร จะไปไฝว้กับใคร ผมจะรู้ไหมนี่ 
บ้างก็ว่าเศรษฐกิจ จะดูดีกว่าเก่า ส่งออกนำเข้า ค้าขายเสรี
มีอำนาจต่อรองกับฝรั่ง ย่านนี้จะมั่งคั่งไปทุกๆ คันทรี่
ไปรวมเป็นแก๊งค์เดียวกับเขา ถามตัวเองหน่อยไหมเล่า ว่าพวกเรามีอะไรดี

เอาง่ายๆแค่สัญญาณโทรศัพท์ ชาติอื่นเขาขยับ ไปถึงไหนแล้วพี่
ลาว เลอว ที่ชอบไปล้อเค้า ซึมไปเลยไหมเล่า เขามี 4G
ของไทยที่หลงใช้กันอยู่นาน มัน 3G อุปทาน จริงๆมันแค่ 2G
เขาบอกว่าของจริงมาแน่เมษา เขาบอกว่าของจริงมาแน่เมษา ฝากถามด้วยว่า มันชาติหน้าหรือชาตินี้

ข้าวไทยเคยเป็นแชมป์ส่งออก ปีนี้ไม่ต้องบอก ตกไป 234 
ขายข้าวไม่ดีไม่เสียหน้า ยังไงยอดขายหมา ก็เป็นหนึ่งทุกปี

นโยบายชาติไหนช่างเขา รัฐบาลของเรา นโยบายอินดี้
โครงการ รถยนต์คันแรก ทั้งแถมทั้งแจก ช่วยลดภาษี 
แย่งจองกันฝุ่นตลบ กว่าจะได้รถครบ ก็ตั้ง 34 ปี
ถอยรถออกมาเป็นล้าน มีรถทุกบ้าน แต่ถนนไม่มี
หัวแถวอยู่สุขุมวิทย์ ท้ายแถวนู้นติด อยู่ปัตตานี
รถติดๆอยู่ในรถ เงินเติมน้ำมันก็หมด เงินผ่อนรถก็ไม่มี
ขาดส่งโดนยึดทำไงอ่ะ ขาดส่งโดนยึดทำไงอ่ะ จะไปแคร์อะไร เรายังมีรถเมล์ฟรี

รถไฟนี่เชิดหน้าชูตา ตั้งแต่ สมัย ร๕ ใช้มาถึงวันนี้
นี่ได้ข่าวเวียตนามกับพม่า เร่งสร้างรถไฟฟ้า แซงหน้าด่วนจี๋
ของไทยจากกรุงเทพไปสุราษณ์ ใช้เวลาครึ่งชาติ หอยทากเรียกพี่

ส่วนรถเมล์ มึงจะรีบไปไหน แม่งซิ่งกระจาย ยิ่งกว่าแข่งแรลลี่่
จอดตรงป้ายนี่ปาฎิหารย์ ถือเป็นปรากฎการณ์ ในทุกๆพันปี
ซ้อนมอเตอไซค์นี่แหละ เจ๋งสุด ทั้งสวนเลน ทั้งมุด ไม่กลัวเป็นผี
เข่าเขิ่ว กูไม่ต้องสนใจ ถูรถเล็ก รถใหญ่ กระจกใคร มึงเอาดี้
กูเจ็บแต่กูให้อภัย เพราะอะไรรู้ไหม หมวกมึงหอมดี

คนขับมันก็เป็นคนไทย แต่ต่างชาติเมื่อไหร มึงไปทุกที่
พอไทยกันเองโบกบ้าง โบกจนกล้ามขึ้นแขนสองข้าง มึงก็ไม่ไปสักที
เอะอะบอก ส่งรถไม่ทันๆ ๆ ส่งอะไรไม่ทัน อู่พ่อมึงดิ
รัฐก็ออกมาช่วยสุดแรง จ้างศูนย์โทรแจ้ง 1584
แจ้งบ่อยจนมันจำเสียงได้ ก็แค่รับเรื่องไว้ ไม่ดูดำดูดี
ใกล้หน่อยมึงก็ไม่ไป ไกลหน่อยมึงก็ไม่ไป ฝนตกมึงก็ไม่ไป ฝนไม่ตกมึงก็ไม่ไป ที่ไหนๆมึงก็ไม่ไป มึงมาขับทำไม มึงช่วยบอกกูทีดิ
แต่ทีเด็ด อยากให้คุณลอง มันแล่นอยู่ในคลอง แสนแสบแห่งนี้
หางยาวๆน้ำหมักเหม็นๆ ลองให้มันกระเด็นโดนหน้า ดูดิ
ขาวอมชมพู ทันใจ ดูอ่อนกว่าวัย ไม่ต้องเพิ่งยันฮี

อยากรู้นิสัยชาติใด เขาว่าดูได้จาก รายการทีวี
รายการของประเทศเพื่อนบ้าน อวดวิวัฒนาการ อวดเทคโนโลยี
รายการทีวีของเรา ก็ไม่แพ้เขา เรามีคนอวดผี
คุณเจนก็มีญาณทิพย์นำทาง พลังงานบางอย่าง เธอรู้ได้ทันที
คุณริวก็มีจิตสัมผัส ใช้จิตสอบประวัติ ก็ทำแท้งทุกที
ผีจริง ผีเซต ผีหลอก ผีเข้า ผีออก มันก็เรื่องของผี
เรื่องผีมันไม่ใช่ประเด็นเพราะที่เราอยากเห็นมันคือนมพริตตี้

ฟุตบอลไทยมีดีทุกอย่าง มีไม่ดีอยู่บ้าง ก็แค่มีบังยี
อยากให้บอลไทยไปเวิลคัพ บอกบังยีสิคับ ให้ลงจากเก้าอี้
ได้เป็นถึงเจ้าภาพฟุตซอลโลก อายถึงกะโหลก เพราะสนามไม่มี
สร้างเสร็จไม่ทันเขาใช้ มัวไปยืนเกาอะไร อยู่ตั้งสองปี
แข่งเสร็จจนเขากลับเมืองนอก นี่สนามหนอกจอกยังไม่เสร็จนะนี่
เสร็จแล้วเอาไปทำอะไร ก็ต้องเก็บเอาไว้ เป็นอนุสาวรีย์ (เงินพวกกูทั้งน้าาาาาาาน)

กรุงเทพเมืองหนังสือโลก ไม่ได้มาเพราะโชค คนทั้งโลกรู้ดี
คนไทยนั้นรักการอ่าน นี่ไม่ได้บอกผ่าน 8 บรรทัดต่อปี
ผู้ใหญ่ควรอ่านให้เด็กเห็นเป็นเยี่ยงอย่าง อ่านให้เด็กเห็นบ้าง เป็นตัวอย่างที่ดี
ตัวอย่างมีอยู่ถมไป ไม่ต้องดูอื่นไกล นายกรัฐมนตรี
ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย แค่มีโพยยื่นให้ ก็อ่านได้ทันที
อ่านมากๆมันก็มีพลาดผิด ถนน คอ-นก-รีต ประเทศซิดนีย์
ตอนอ่านจะเก็ตหรือไม่เก็ต แต่พออ่านเสร็จ อย่าลืมแต้งกิ้ว 3 ที (thank you 3 times)

ชาติอื่นเขาขยันขายค้า เราขยันขายหน้า แบ่งพรรคแบ่งสี
ชาติไทยเราสู้เค้าได้ ไม่ต้องทำอะไร แค่หยุดทะเลาะตบตี
ปากบอกปรองดอง แต่ก็ยังจองเวร เห็นแล้วไมเกรน กำเริบทุกที
จะไปรวมกับเค้าทั้งหลาย รวมกันเองยังไม่ได้ อายเขาไหมนี่

เขาว่าจะมีแลกเปลี่ยนแรงงาน เรามาลองแลกรัฐบาล กันดูไหมพี่
เอาของผมไปบริหารของท่าน เรามาลองผลัดกัน คนละทีสองที
ไม่ว่าประเทศท่านรวยมาจากไหน เจอนักการเมืองไทย เดี๋ยวมึงได้เป็นหนี้
รับรองว่าตายยกรัง ประเทศคุณจะพัง ไม่เกินสามปี
ไม่นานประเทศคุณก็จะเหมือนประเทศผม เรื่องนี้อุดม ขอการันตี

Thursday, August 1, 2013

The Odd Life of Timothy Green (2012)

The Odd Life of Timothy Green (2012)


เกริ่นๆ

ผมไม่เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย และไม่รู้อะไรเลยว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ที่ได้ดูเพราะว่ามีคนแนะนำให้ดู  เห็นแค่ชื่อเรื่อง เดาว่าคงจะคล้ายๆกับหนังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button เพราะชื่อมันคล้ายๆกัน (The ... of ... เหมือนกัน -..-" ) ซึ่งพอได้ดูแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายมันจะไหลออกมาเลยครับ ทั้งน่ารัก ซึ้ง เศร้า สนุก ปนกันไปหมดเลย

เรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่แล้ว หรือคนที่ยังไม่มีลูก และกำลังจะมีลูก หรือคนที่แค่คิดที่จะมีลูก เพราะว่า เรื่องนี้สอนอะไรหลายๆอย่างให้กับ คนเป็นพ่อแม่ ได้อย่างดีเลย

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่รักกันมาก พวกเขาอยากมีลูกเพื่อมาเติมเต็มชีวิตคู่ แต่หมอบอกทั้งคู่ว่า ให้ถอดใจซะ ความเป็นไปได้ที่พวกคุณจะมีลูกน้อยมากถึงไม่มีเลย พวกเขาสิ้นหวัง ความพยายามทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย เวลาที่เสียไป ความหวังที่มีอยู่ หายไปหมดเลย แต่ชีวิตต้องเดินต่อไป คืนนั้นเอง Jim Green ผู้เป็นสามี ขออำลาอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายกับ Cindy Green ผู้เป็นภรรยา (ไม่ได้ทำอย่างว่านะ) ด้วยการจิบไวน์พอให้กรึ่มๆ จินตนาการถึงลักษณะนิสัยของลูกตัวเองในอนาคต  เขียนสิ่งเหล่านั้นลงในกระดาษแล้วเก็บไว้ในกล่อง จากนั้นเอาไปฝังไว้สวนหลังบ้าน หวังว่าสักวันนึง ถ้าพวกเขามีลูก ลูกจะเกิดมามีลักษณะเหมือนกับที่เขาเขียนไว้... และแล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อคู่สามีภรรยา พบ เด็กน้อยหน้ามล ชื่อ ทิมโมธี ในบ้าน เนื้อตัวเปื้อนดินมอมแมม ถามไปถามมา ว่าลูกเต้าเหล่าใคร เด็กน้อยหน้ามลตอบว่า ผมเกิดจากสวนหลังบ้านงับ ฮัชช่า ปาฏิหารย์ได้เกิดขึ้นแล้ว :)






##### Spoiled Alert #####

My Review

การเล่าเรื่องของหนังเป็นการเล่าจากปัจจุบันไปอดีต (told in flashback) คล้ายๆเรื่อง Life of Pi ซึ่งทำให้หนังน่าติดตามมากขึ้น เพราะเรื่องราวจะค่อยๆ เผยไปเรื่อยๆ จนมาบรรจบกับปัจจุบัน และตบท้ายด้วยฉากจบในแบบฉบับที่ไม่ธรรมดา 

หนังเปิดตัวด้วยฉาก คู่สามีภรรยา ที่ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พวกเขาไปสัมภาษณ์เพื่อขอรับเด็กมาเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นว่า พวกเขาไม่ได้ตอบคำถามในแบบฟอร์มที่ว่าทำไมคุณถึงสมควรที่จะได้รับเด็กไปเลี้ยง และคุณมีประสบการณ์อะไรบ้าง เมื่อเจ้าหน้าที่ถาม พวกเขาตอบว่า เรื่องมันยาวมากเกินกว่าที่จะเขียน พวกเขาอยากจะใช้เวลานี้ในการเล่าประสบการณ์ที่จะทำให้พวกเขามีคุณสมบัติในการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าอันมหัศจรรย์ของพวกเขา

ฉากที่เล่าเท้าความว่า ทำไมถึงมีลูกไม่ได้ เสียงเพลงประกอบ กับ ความรู้สึก ณ ตอนนั้น มันใช่เลยครับ ดูเศร้ามากๆ ลองฟังดูครับ track ที่ 1 "You're Gonna Find It Hard to Believe"  และ track ที่ 2 "Life Goes On"


และเมื่อจิมและซินดี้ พบ เด็กชายทิมโมธี ที่เกิดจากกล่องอฐิษฐานของพวกเขาที่ฝังไว้สวนหลังบ้าน เขาก็กลายเป็น พ่อแม่ลูกไปโดยปริยาย  ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับพวกเขา ทิมโมนี มีใบไม้ติดอยู่ที่ขา เอาออกไม่ได้ หนังจะค่อยๆเล่าเรื่อง เผยความเป็นตัวตนของทิมโมธี ว่าลักษณะนิสัยของเขานั้น เป็นเหมือนกับที่พ่อแม่เขียนไว้เปี๊ยบ เช่น
  • Never Give Up ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
  • Good heart มีจิตใจที่ดีงามเหมือน ซินดี้
  • Funny like Uncle Bub มีอารมณ์ขัน เหมือน ลุงบั๊บ 
  • Honest to a fault ซื่อตรง ไม่โกหก
  • Rock มันส์กับเสียงดนตรี
  • Artistically, Picas-so with a pencil มีความเป็นศิลปิน วาดภาพด้วยดินสอเก่ง
  • Love and be loved รักและเป็นที่รัก
  • Got to score a winning goal ลูกของพวกเราจะต้องยิงประตูชัย
แต่ละฉากที่ทิมโมธีเผยตัวตนความเป็นเขา คือจุดเด่นและจุดสนุกของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากแนะนำตัวเอง ฉากปิ้งสาว ฉากคุยกับคุณลุงบั๊บ ฉากวาดรูปให้เจ้านายของแม่ ฉากแข่งฟุตบอล หรือฉากที่ประชุมโรงงานดินสอที่พ่อทิมโมธีทำงานที่กำลังจะปิดลง ทุกๆฉาก ดูสนุก มีเสน่ห์ น่าติดตาม ไม่น่าเบื่อ และมีหลายอารมณ์คลุกเคล้ากัน เช่น กระชากใจคนดู  ตลก น่ารัก เศร้า และ ซึ้ง ยอมรับเลยว่า เรื่องนี้ทำผมน้ำตาคลอเบ้า

ประเด็นหลักๆของหนังเรื่องนี้คือ การเป็นพ่อเป็นแม่คน มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ถ้าลูกมีปมด้อยต้องสอนลูกว่ายังไง ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกมากเกินไปจะทำให้ลูกเป็นยังไง ถ้าลูกโดนรังแกจะทำยังไง การให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง ให้ลูกรู้จักแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง จะทำยังไงถ้าลูกมีความรัก การมาของทิมโมธี ทำให้ จิมและซินดี้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง หนังผสมผสานฉากต่างๆกับพลอตเรื่องได้อย่างลงตัว เช่น การที่หนังเอาประเด็นเรื่อง ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีระหว่างพ่อของจิม กับ จิม และโรงงานผลิตดินสอที่กำลังจะปิด หรือเรื่องสาวที่ทิมโมธีหลงรัก มาผูกกับเรื่อง ทำให้น่าสนใจ และน่าติดตาม ดูแล้วไม่เบื่อเลย

แต่ขอติงจุดนึงคือ การแสดงของ ตัวละครชื่อ จิม (รับบทโดย Joel Edgerton) เขาแสดงค่อนข้างจะแข็งๆนิดนึง เช่น ฉากที่กำลังสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ศูนย์ สีหน้า อารมณ์ ท่าทาง ดูไม่เข้ากับอารมณ์ของตัวละคร ณ ตอนนั้นเลย

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

  • การที่พ่อแม่อวดเรื่องลูกตัวเองกับพ่อแม่คนอื่น ไม่ใช่เรื่องดีเลย มันจะกลายเป็นการสร้างความกดดันให้กับลูก และตัวพ่อแม่เองก็เดือดเนื้อร้อนใจไปด้วย ถ้าไม่ใช่ทิโมธี จิมกับซินดี้อาจจะต้องเจอปัญหาหลายๆอย่างตามมาแน่นอน
  • อย่างที่้ทิโมธีพูด เมื่อใบไม้ผมหมดไป ผมก็คงต้องไปด้วย มันก็เป็นอย่างนี้แหละ เวลามักจะมีขอบเขตเสมอ มันก็เหมือนกัน เด็กอื่นๆที่โตขึ้น พวกเขาก็ต้องออกไปเผชิญโลกกว้าง เขาไม่สามารถอยู่กับพ่อและแม่ได้ตลอดเวลา วัฒนธรรมอเมริกา เป็นแบบนี้จริงๆ เรื่อง Bates Motel ก็ concept แนวนี้เหมือนกัน
  • เมื่อลูกเจอกับปัญหา ต้องรู้จักให้ลูกแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองบ้าง แต่ก็อย่าละเลยจนเกินไป และไม่เข้าไปยุ่งจนเกินเหตุ เคยดูสารคดีที่ว่าสัตว์ในโลกนี้ บางอย่างพวกมันก็มีความฉลาดไม่น้อยไปกว่าคนเลย สิ่งที่ทำให้พวกมันรู้ และคิดเป็น นั่นคือ ประสบการณ์ การเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองนำมาซึ่งประสบการณ์

Quote โดนใจ

Never Give Up - Timothy , Jim

"It's okay to be different. A little weird, even" - Reggie

"I decided our son would not be seen as different. He'll be treated like a normal kid." -Cindy

Hello, young man.
Hello, old boy.

Anything is possible!

Jim: "Have a great day!"
Cindy: "That's too much pressure."
Jim: "Have the day you have."

สรุป

The Odd Life of Timothy Green เป็นหนังที่ พ่อแม่ทั้งหลาย ควรดู ให้ข้อคิดอะไรได้หลายๆอย่าง ถ้าคนที่ไม่อินกับชีวิตครอบครัว พ่อแม่ลูก คงดูไม่สนุก และเอียนกับบทพ่อแม่รักลูกในหลายฉาก  แต่สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้มีครบทุกรสชาติ ทั้งตลก ซึ้ง เศร้า ลุ้น ตามไปด้วย เป็นหนัง Feel Good ที่ดีเรื่องนี้ รวมถึงเพลงและดนตรีประกอบฉากที่เพราะๆทั้งนั้น แนะนำให้ดูครับ ให้ 9/10

อื่นๆ

ภาพสวยๆ จาก Official fan page : https://www.facebook.com/OddLifeMovie

เพลง และ soundtrack ทั้งหมด ที่อยู่ในหนังเรื่อง "The Odd Life of Timothy Green" เพราะๆทั้งนั้นครับ
อันนี้แบบเป็น play list รวมดนตรีทุกๆฉากไว้หมดเลยครับ >> http://goo.gl/XIV807

All soundtrack from "The Odd Life of Timothy Green".

No.TitleLength
1."You're Gonna Find It Hard to Believe"  1:22
2."Life Goes On"  3:18
3."That's Not Normal"  4:23
4."Our Kid"  1:19
5."...Now What?"  2:25
6."Is He for Us?"  1:31
7."Cherry on Top"  0:56
8."I Can Only Get Better! (A Glass Half Full Person)"  1:17
9."Love and Be Loved"  2:43
10."There's Something You Need to See"  1:46
11."Funny, Like Uncle Bob"  2:06
12."Why Not Make a New Kind of Pencil?"  2:20
13."Nice Socks"  1:09
14."Picasso with a Pencil"  1:18
15."Run the Other Way"  0:24
16."This World They Created"  1:09
17."Think "Tree""  1:45
18."The Championship Game"  1:47
19."I'm with "0""  1:42
20."The Winning Goal"  1:24
21."I Let Her Go"  1:22
22."We Better Get Inside"  2:25
23."Never Give Up"  1:44
24."So Much Is Possible"  3:28
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/The_Odd_Life_of_Timothy_Green

ส่วนเพลงที่อยู่ใน Credit ท้ายเรื่อง ชื่อเพลง "This Gift" เพราะดี

The Odd Life of Timothy Green - Glen Hansard "This Gift"