Pages

Pages - Menu

Tuesday, July 30, 2013

5 เหตุผลที่ไม่ควรดู ตัวอย่างหนัง ก่อนดูหนัง


ตัวอย่างหนัง หรือ trailer คือ ตัวอย่างของหนังที่ถูกปล่อยออกมาก่อนที่หนังจะเข้าโรง ความยาวก็มีตั้งแต่ 30 วินาที จนถึงนาทีสองนาที ประโยชน์ของตัวอย่างหนังมีหลายอย่าง เช่น บอกเล่าเรื่องราวย่อๆ เรียกน้ำย่อย ก่อนดูหนังจริง ทำให้คนอยากดู หลายๆคนชอบดู trailer รวมถึงผมด้วย ก่อนที่จะพบว่าการดู trailer ไม่ได้ทำให้ดูหนังสนุกขึ้นเลย แต่กลับทำให้ดูสนุกน้อยลง และนี่คือ 5 เหตุผลที่ไม่ควรดู trailer ก่อนดูหนัง

1. ฉากเด็ดๆของหนัง เอามาอยู่ใน trailer หมดแล้ว

เราจะยังตื่นเต้น หรือ อึ้ง ไปกับความอลังการของหนังหรือไม่ ถ้าเราเคยเห็น คำพูดเด็ดๆ ฉากระเบิดมันส์ๆ จาก trailer มาก่อนแล้ว มันอาจจะยังตื่นเต้นอยู่ แต่ก็ไม่เท่ากับครั้งแรกแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง Fast & Furious 6 ตัวอย่างมาเต็มทั้งฉากรถถังถล่มทางหลวง หรือฉากเครื่องบินตก พอได้ดูหนังจริงๆ แค่รถโผล่มา สมองมันก็นึกไปถึงฉากรถถังหรือเครื่องบินแล้ว 

2. trailer spoil เนื้อเรื่อง

trailer ส่วนใหญ่ไม่ได้ spoil เนื้อเรื่องแบบตรงๆ ส่วนใหญ่จะสลับฉากกันไปมา ซึ่งเราๆก็ดูไม่รู้หรอกทั้งหมดหรอก แต่ที่จะพูดถึงนี้ หมายถึง เรื่องย่อที่ trailer นำเสนอ จริงอยู่การบอกเรื่องย่อ ก็เป็นการเกริ่นเนื้อเรื่องของหนัง ให้รู้ที่มาที่ไป แต่เรื่องย่อบางเรื่อง ก็ไป spoil เนื้อเรื่องที่มันเป็นจุดตื่นเต้นสำคัญเลย เช่น เรื่อง Looper เรื่องย่อดันบอกว่า โจแก่ถูกคนในอนาคตส่งมาให้โจหนุ่มฆ่า และใน trailer เหมือนโจแก่หนีไปได้ นั่นเป็นจุดตื่นเต้นเลยนะ ดันรู้ก่อนดูหนังจริงซะอีก

3. trailer บางเรื่องดูน่าสนุกมาก แต่พอดูจริงๆ ห่วยครับพี่น้อง

เช่นเรื่อง Sky Line มาพร้อมกับ tagline ว่า "โปรด อย่ามองขึ้นฟ้า" ภาพจานบินดูดคนขึ้นยาน ทำให้หนังน่าดูโคตรๆ ตอนนั้นอยากดูมากๆ ขนาดรบเร้าแฟนไปดูได้ (ปกติแฟนเป็นคนไม่ชอบดูหนังเลย) โดยผมโฆษณากับแฟนไว้ว่าคนสร้างเรื่องเดียวกับ 2012 เลยนะเธอ (จริงๆแค่ทีมงาน special affect ทีมเดียวกัน) แต่พอดูแล้ว What the f*ck!!! แถมยังโดนแฟนว่าอีกว่าหนังอะไรเนี่ย ไม่สนุกเลย (ก็ trailer มันโคตรน่าดูเลยนี่นา -*- )

4.  ฉาก / เพลง / คำพูด / หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่มีใน trailer แต่ไม่มีในหนัง

จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร แต่มีแน่นอน มันไม่ใช่เลยที่จะใส่คำพูด หรือฉากอะไรลงไปใน trailer แต่ไม่มีในหนัง เหตุผลนึงคือ trailer อาจถูกทำตอนที่หนังยังไม่ final cut

5. trailer ก็คือเครื่องมือการทำการตลาดดีๆนี่เอง

ลองนึกภาพรูปอาหารตามป้ายหรือเมนูตามร้านอาหารต่างๆ รูปแต่ละรูปน่ากินมากๆ ชิ้นใหญ่เต็มจาน ชวนน้ำลายสอ แต่พอสั่งมาจริงๆ ได้นิดเดียว อร่อยรึปล่าวไม่รู้ นั่นแหละครับ การตลาด โฆษณา

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่เรื่อง หนังบางเรื่อง trailer ก็ไม่ได้แย่ตามเหตุผลข้างบน และก็ไม่ได้หมายความว่า เวลาผมไปดูหนังในโรง ตอน trailer ฉาย ผมก็จะปิดตาไม่ดู ผมดูครับ ฮ่าๆๆ เป็นการดูเพื่อให้รู้ว่าเรื่องไหนน่าดู น่าสนุก ดูเสร็จแล้วก็ลืมๆไปซะ จำแค่ว่า มันน่าดูนะ หลังจากนั้น ถ้าจะตัดสินใจดูเรื่องอะไร จะดูจากกระแสของคนรอบข้าง ว่าปากต่อปากไหม ดู rating ในเวปมะเขือเน่ากับ imdb

ความเห็นส่วนตัว การดู trailer ไม่ได้ช่วยให้การดูหนังสนุกขึ้นเลย trailer เป็นแค่โฆษณาที่กระตุ้นต่อมให้อยากดู การดูหนังที่ได้อรรธรสจริงๆ ควรไปสัมผัส รับรู้กันสดๆในหนังเลยดีกว่า เพราะคำพูดเด็ดๆ ฉากสนุกๆ ตัวละครที่น่าค้นหา สิ่งใหม่เหล่านี้ที่สมองยังไม่รับรู้ จะช่วยให้การดูหนังสนุกขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน

Saturday, July 27, 2013

Madagascar 3: Europe's Most Wanted (2012)

Madagascar 3: Europe's Most Wanted (2012)

มาดากัสการ์ 3 ข้ามป่าไปซ่าส์ยุโรป

เกริ่นๆ

การผจญภัยในภาคแรก Madagascar (2005) และภาคสอง Madagascar: Escape 2 Africa (2008) ทำให้พวกเขา Alex (สิงโต), Marty (ม้าลาย), Gloria (ฮิปโป) and Melman (ยีราฟ)  ติดแง๊กอยู่กลางป่าแอฟฟริกา พวกเขาคิดถึงบ้านที่ๆพวกเขาเคยอยู่ ณ สวนสัตว์เซนทรัลปาร์คกลางเมืองนิวยอร์ก ในภาคนี้ Madagascar 3: Europe's Most Wanted (2012) ความพยายามที่จะกลับบ้านของพวกเขา นำพาพวกเขาไปผจญภัยที่ยุโรป ร่วมกับคณะละครสัตว์ นำโดย เสือ Vitaly  จากัวร์  Gia และ แมวน้ำ Stefano มาร่วมผจญภัยด้วย

Thursday, July 25, 2013

Fast & Furious 6 (2013)

Fast & Furious 6
เร็ว & แรงทะลุนรก 6

เกริ่น

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งที่ผมจะกลับไปแก้ไขเกี่ยวกับการดูหนังเรื่องนี้คือ ไม่ดู trailer ของหนังเรื่องนี้สิบนาทีก่อนนอนตีพุงรอดูฉากแอคชั่นมันส์ๆ เพราะอะไรน่ะหรอครับ ฉากแอคชั่นมันส์ๆ ที่ทำให้ลุ้นตัวเกร็ง ฉายใน trailer หมดแล้วครับ ทั้งรถถัง ทั้งเครื่องบิน มาหมด พอดูหนังจริงๆ ไม่ติ่นเต้นเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงต่อ จากที่เคยเขียนไว้ว่า เราควรดูตัวอย่างหนัง หรืออ่านเรื่องย่อ ก่อนดูหนังจริงๆ หรือไม่ ครั้งนี้ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว อย่างน้อยก็อย่าดูสิบนาทีก่อนดูหนังจริงๆ ทิ้งไว้สักระยะ ดูให้พอรู้ว่าน่าสนุก แล้วก็ลืมๆไปซะว่า trailer มันเป็นยังไง แล้วไปดูในหนังจริงๆเอาดีกว่า ดูกันอีกรอบ ฉากหลักๆในหนัง ถูกใส่ไปใน trailer หมดเลย


---Spoiled Alert---

เรื่องย่อๆ 

ภาคที่แล้ว (Fast 5) ดอม (Vin Diesel) และไบรอัน (Paul Walker) พร้อมลูกทีม ปล้นแบงค์ที่ริโอเดอจาเนโร ได้เงินมากร้อยล้าน แบ่งเงิน แยกย้าย ต่างคนต่างมีชีวิตที่สุขสบาย เพียงแต่ไม่สามารถกลับไปที่สหรัฐอเมริกาได้อีก เพราะถูกขึ้นบัญชีดำ ในขณะเดียวกัน Hobbs ตำรวจกล้ามใหญ่ ท่าดี (แต่ทีเหลว รึปล่าว) จับคนร้ายฝีมือระดับพระกาฬ (ชอว์) ไม่ได้สักที เลยต้องขอร้องให้ ทีมของดอมช่วย เพราะโจรย่อมรู้ทางกันดี ซึ่งดอมไม่อาจปฎิเสธได้เลยเพราะคนรักเก่า เลตตี้ ที่ตนคิดว่าตายไปแล้ว (ฝันศพกับมือ) กลับเป็นมือขวาของชอว์ ดอมขอค่าตอบแทนเป็นการยกเว้นโทษทั้งหมดให้กับทีมเขา เพื่อที่เขาจะได้ไปใช้กลับบ้านพร้อมครอบครัว ได้ใช้ชีวิตแบบสมบูรณ์แบบอีกครั้งนึง

My Review

กลายเป็นเทรนฮิตไปแล้วสำหรับการทำหนังภาคต่อ ซึ่งเรื่องนี้นำเอาปมที่ทิ้งไว้ภาคที่แล้ว (เลตตี้ตาย) นำมาเป็นประเด็นหลักในภาคนี้ (เลตตี้ไม่ตาย) หนังเริ่มต้นได้ดีทีเดียว เปิดตัวได้น่าสนใจ ด้วยการรวมทีมใหม่อีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ฉะปะดะกับศัตรูบ้านๆ แต่เป็นถึงอดีตทหาร น่าจะเพิ่มขีดความมันขึ้นไปอีก ซึ่งก็จริง ฉากขับรถไล่กัน ฉากแอคชั่นหลายๆฉาก ดูน่าเกรงขามกว่าทุกภาค ทั้งรถถัง ทั้งเครื่องบิน และหนังยังคงมีเอกลักษณ์ตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะภาคไหนๆก็มี เช่น การโชว์รถสวยๆ เสียงเบิ้ลรถแรงๆ สาวสวยๆกับเพลงมันส์ๆ ฉากแข่งรถ 


แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมชอบและประทับใจกับเรื่องนี้มากที่สุดนั้น ไม่ใช่ฉากแอคชั่นที่อลังการ ไม่ใช่ฉากซิ่งรถไล่ล่า ไม่ใช่สาวสวยๆกับเพลงมันส์ๆ ไม่ใช่พลอตเรื่องที่เอาคนตายฟื้นคืนชีพ แต่เป็นเพราะ มุขตลกจากเหล่าลูกทีมทั้งหลาย โดยเฉพาะ Roman (Tyrese Gibson) ผมยกให้เขาเป็นพระเอกของเรื่องนี้เลย เด่นกว่าพระเอกอย่างดอมอีก เพราะถ้าไม่ได้ตัวละครตัวนี้ หนังเรื่องนี้ก็คงไม่มีสีสันอะไร นอกจากฉากแอคชั่นแบบหูดับตับไหม้ แต่ไม่เน้นความสมจริง ด้วยท่าทาง บท ของพี่แก เกรียนๆฮาๆ พูดได้เลยว่าฉากไหนมีพี่แก ฉากนั้นเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด ความตลกที่มาจากพี่แก มันทำให้ผมสนุกมากกว่าฉากบู้ๆซะอีก นึกๆไปแล้วบุคลิกท่าของแก มันคล้ายๆกับนักฟุตบอลสุดเกรียนอย่าง มาริโอ บาโลเตลี่ ไม่มีผิด อีกคนนึงที่ผมฮาไม่แพ้กัน คือ Hobbs (Dwayne Johnson) ตำรวจกล้ามใหญ่ชอบทำท่าจริงจัง แต่เดาใจผู้ร้ายผิดตลอด ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เวลาเฮียแกพูดจะเกร็งๆกล้ามคอนิดๆ เงยหน้าขึ้นหน่อย เพื่อให้ดูเกรงขาม ลองนึกถึงตอนแกเล่นมวยปล้ำดู บุคลิคเดียวกับเปี๊ยบเลย ส่วนบทของตัวเอก ดอม กับ เลตตี้ ที่เป็นพลอตหลักของเรื่องดูจืดๆชืดๆไป หนังใส่เรื่องความรักของดอมที่มีต่อเลตตี้ ถึงขนาดที่ดอมจะยอมตายแทนได้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกซึ้งสักเท่าไหร เวลาที่มีบทพี่ดอมพูด แกไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย ไม่รู้ว่าเป็นกับ character หรือแสดงไม่ถึงกันแน่ เหมือนแกพยายามทำตัวเหนือด้วยการไม่แสดงสีหน้า แถมตอนสุดท้ายที่พี่ดอมแกรอด แทนที่แกจะเดินหลบๆไฟ บาดเจ็บบ้างอะไรบ้าง แต่แกเดินท่ามกลางเปลวไฟ ไม่สะทกสะท้านอะไรเหมือนเดิม บทพี่แกนิ่งตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบ 


ส่วนเรื่องเนื้อเรื่อง ก็ยังคงสูตรสำเร็จเดิมๆ คือ ไม่ว่าจะยังไง คนร้ายก็แพ้วันยังค่ำ ถึงแม้ว่าจะเอาเรื่องเลตตี้ ทำให้พลอตดูมีมิติมากขึ้น เพิ่มความดราม่าระหว่างดอมและเลตตี้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก ยังคงเน้นฉากแอคชั่นเท่ห์ระเบิดล้นจอ แต่ไม่เน้นความสมจริง เช่น ฉากรถถังถล่มกันเละ รถคันไหนวิ่งตาม วิ่งนำ ดูไม่รู้เรื่องเลย รู้แต่ว่าระเบิดเละ และตัวร้ายซึ่งเหมือนจะฉลาดมาทั้งเรื่อง แต่ดันมาตายง่ายๆตอนท้าย โดยเฉพาะฉากสุดท้าย ยื้อๆยึดๆ เครื่องบิน กับฉากต่อสู้เดิมๆ มันนานเกินไป

ท้ายเรื่อง ยังทิ้งปมให้ต่อภาค 7 ด้วยการส่ง ตัวละครลับ Jason Statham ลงมาร่วมวงอีกคน -..-

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

"Every man has to have a code"
เป็นลูกผู้ชายจำเป็นต้องมีหลักการ

"We all got a weak spot"
เราทุกคนก็มีจุดอ่อนทั้งนั้น

สรุป

อาจเป็นเพราะผมดู trailer ก่อนดูหนัง ทำให้ผมไม่ตื่นเต้นกับฉากแอคชั่นมากนัก ส่วนของเนื้อหา หนังไม่มีอะไรใหม่ๆ นอกจาก เพิ่มฉากสุดท้ายเข้าไปเพื่อให้ทำภาคต่อได้อีก นอกนั้นพลอตเรื่องเดิมๆ กับฉากแอคชั่นและเนื้อเรื่องที่ไม่สมจริง แต่หนังยังสนุกได้เพราะมีฉากตลกๆจากตัวละครชื่อ Roman อยู่  ผมให้ 6/10

Monday, July 22, 2013

Lincoln (2012)

Lincoln (2012)


ออกตัวก่อนว่า รู้เรื่องประวัติศาสตร์น้อยมาก ข้อมูลอันไหนผิดเพี้ยน ชี้แนะด้วยครับ 

เหตุการณ์ในหนัง เกิดขึ้นราวๆ ปีที่ 4 ของสงครามกลางเมืองในอเมริกา ขณะนั้นท่านประธานาธิบดี Lincoln ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2  โดยหนังเรื่องนี้ กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญห้วงสุดท้าย กว่าจะได้มาซึ่ง กฎหมายที่ว่าด้วยการเลิกทาสอย่างถาวรในประเทศสหรัฐอเมริกา ใครมองหาฉากสงคราม ฉากยิงระเบิด ฉากรบกัน บอกเลยครับว่าไม่มี เป็นหนังดราม่า อิงประวัติศาสตร์ ล้วนๆครับ

สาเหตุของสงครามนี้ต้องย้อนกลับไป สมัยที่ Lincoln แห่งพรรค Republican ได้รับเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เขาสนับสนุนนโยบายเลิกทาส จนสามารถบังคับใช้ในรัฐทางเหนือส่วนใหญ่ แต่ทางรัฐส่วนใต้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเลิกทาส เพราะรัฐทางใต้ส่วนใหญ่ ทำเกษตรกรรม ต้องการใช้ทาสจำนวนมาก ในขณะที่รัฐทางเหนือเป็นอุตสาหกรรม ทางใต้เลยไม่ยอม แยกตัวเป็นอิสระ และตั้งรัฐบาลใหม่ในนามว่าสมาพันธรัฐอเมริกา สุดท้ายก็รบกัน

ประเด็นของหนังหลักๆ ที่จับใจความได้มีดังนี้
  • สงครามกลางเมืองที่ยาวนานถึง 4 ปี คนตายไปหกแสนกว่าคน ทางพรรคต้องการให้สงครามจบโดยเร็วที่สุด เพราะจะมีผลกับคะแนนนิยมของพรรค แต่ ลินคอล์นไม่ยอม เพราะเขาคิดว่า ถ้ายอมสงบศึกสงครามก่อนที่จะมีการโหวตกฎหมายการเลิกทาส การโหวตนั่นจะไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า
  • ลินคอล์นต้องเลือกอย่างใดอย่างนึงระหว่าง สงบศึกสงคราม หรือไม่ก็ ดันกฎหมายให้ผ่าน
  • ลินคอล์นยอมใช้วิธีที่ไม่สะอาด จ้างคนไป lobby สัญญาว่าจะให้ตำแหน่ง แต่ก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง
  • ในขณะเดียวกัน ลินคอล์นแอบสั่งห้ามไม่ให้ คณะผู้แทนจากสมาพันธรัฐ เดินทางมาวอชิงตัน ให้ไปที่อื่นก่อน เพราะต้องการรู้ผลการโหวตก่อน
  • มีการห้ำหั่นกันทางคำพูด คำจา ในรัฐสภา ชิงไหวชิงพริบกัน พอสมควร
  • การทำหน้าทีทั้งผู้นำประเทศ สามี และพ่อ ในเวลาเดียวกัน มันไม่ง่ายเลย
  • สุดท้ายฉากทีเด็ดของเรื่อง ฉากการโหวตรองรับกฎหมายเลิกทาส
ประเด็นที่ไม่ค่อยเข้าใจ
  • มุกหลายๆมุก ที่ลินคอร์นพูด แล้วคนอื่นตลก
  • ใครเป็นใคร ในเรื่อง งงไปหมด
  • ที่มาพูดในรัฐสภามีใครบ้าง หมายถึงฝ่ายไหนยังไง ใครต้องพูด งงนิดๆ
ฉากประทับใจ
  • ฉากในรัฐสภา สตีเว่นโดนยั่วโดนพรรคเดโมแครต เขาโดนพวกตัวเองห้ามไว้ก่อนว่าอย่าเดือด (ที่เดือดง่าย อาจเป็นเพราะ เมียของสตีเว่นเป็นคนผิวดำ ซึ่งเฉลยท้ายเรื่อง) ให้เขาพูดแค่ว่า เขาเชื่อว่าทุกเชื้อชาติเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่ต้องระบุสีผิว ซึ่งจะทำให้พรรคฝ่ายค้านเอามาแย้งได้ว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของการแก้รัฐธรรมนูญ ในห้องนักข่าวเต็มไปหมด ถ้าพูดไม่ดี มีหวังจบเห่แน่ แต่เขาตอบแบบแก้เผ็ดกลับไปว่า เขาไม่เชื่อในความเท่าเทียมของทุกสิ่ง แต่เขาเชื่อในความเท่าเทียมของกฎหมาย (I don't hold with equality in all things, just equality before the law, nothing more.) 
  • ฝ่ายค้านทำอะไรไม่เป็นเลย เพราะคิดไว้แล้วว่า เขายังไงก็จะตอบว่า นิโกร เท่าเทียมกับ คนขาว แสบมากๆฉากนี้
  • ฉากที่ลินคอล์นพูดเกี่ยวกับถึงสัจพจน์เกี่ยวกับการเท่ากันทุกประการของยูคลิด (นักคณิตศาสตร์) แกบอกว่า สิ่งที่เท่าเทียมกันยังไงก็เท่าเทียมกัน มันจริง มันใช้ได้ผล และมันคือหลักฐานในตัวเอง ขนาดกฎเก่าแก่นี้ขนาด 2000 ปียังพิสูจน์ในตัวเองได้ว่า สิ่งที่เท่าเทียมกันยังไงก็เท่าเทียมกัน เราต้องเริ่มต้นด้วยความเท่าเทียมกันเหมือนกัน
Euclid's first common notion is this: Things which are equal to the same things are equal to each other. That's a rule of mathematical reasoning and its true because it works - has done and always will do. In his book Euclid says this is self evident. You see there it is even in that 2000 year old book of mechanical law it is the self evident truth that things which are equal to the same things are equal to each other.
  • ฉากโหวต ประทับใจมากๆ (โดยเฉพาะประโยค ให้ตายสิผมขอโหวตให้ผ่าน ผมไม่สน ต่อให้ยิงผมตาย ผมก็จะโหวตผ่าน กับฉากที่ประธานสภา ขอโหวตด้วยคน)
ประเด็นอื่นๆ
  • สปีลเบิร์กกำกับหนังดราม่า ไม่โอเคเท่าไหรนะ
  • ประเทศเขาผ่านมาเยอะ เจ็บมาเยอะ ที่ประเทศเราโดนอยู่ยังจิ๊บๆ 

สรุป

หนังคงไม่สนุกนักสำหรับคนไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ เพราะจะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่สำหรับคอประวัติศาสตร์แล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจทีเดียว มันไม่ง่ายเลยที่กว่าจะได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญเลิกทาส ผมให้ 6/10 

อื่นๆ

เคยดูสารคดี กว่าจะมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ทาง ThaiPBS น่าสนใจมาก เล่าตั้งแต่ยุคอินเดียนแดงจนถึงปัจจุบัน ทำไมเขาถึงกลายเป็นชาติมหาอำนาจได้ อยากดูอีกรอบ แต่หาดูไม่ได้เลย ชื่อสารคดีเต็มๆ สุดยอดสารคดีโลก ชุด America The Story of the us มีทั้งหมด 12 ตอน



Update 25/07/2013 : ในที่สุดก็เจอ มีคนอัพไว้ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสม แจ้งลบได้เลยนะครับ

1. America The story of The US - Rebels (การต่อต้านและการเริ่มต้น)


2. America The story of The US - Revolution (สู่การเปลี่ยนแปลง)


3. America The story of The US - Westward (สู่แผ่นดินตะวันตก)


4. America The story of The US - Division (แตกแยก)


อเมริกา - แตกแยก 21Apr12 by LadyBimbette

5. America The story of The US - Civil War (สงครามกลางเมือง)


อเมริกา - สงครามกลางเมือง 25Apr12 1 by LadyBimbette

6. America The story of The US - Heartland (ม้าเหล็กสร้างชาติ)


อเมริกา - ม้าเหล็กสร้างชาติ 28Feb13 by LadyBimbette

7. America The story of The US - Cities (กำเนิดมหานคร)


อเมริกา - กำเนิดมหานคร 27Apr12 by LadyBimbette

8. America The story of The US - Boom (ความรุ่งเรือง)


อเมริกา - ความรุ่งเรือง 28Apr12 by LadyBimbette

9. America The story of The US - Bust (วิกฤติชาติ)


อเมริกา - วิกฤติชาติ 2May12 by LadyBimbette

10. America The story of The US - World War II (ฝ่าสงครามโลก)


อเมริกา - ฝ่าสงครามโลก 3May12 by LadyBimbette

11. America The story of The US - Superpower (มหาอำนาจ)


อเมริกา - มหาอำนาจ 4May12 by LadyBimbette

12. America The story of The US - Millennium (ก้าวสู่สหัสสวรรษใหม่)


อเมริกา - ก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ 5May12 by LadyBimbette


Sunday, July 21, 2013

เราควรดูตัวอย่างหนัง หรืออ่านเรื่องย่อ ก่อนดูหนังจริงๆ หรือไม่



หลังจากที่ได้ดูหนังหลายๆเรื่อง บางเรื่องรู้เรื่องย่อมาก่อน บางเรื่องเห็นตัวอย่างผ่านๆทางโฆษณา บางเรื่องไม่รู้อะไรเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร เลยเกิดคำถามขึ้นกับตัวเองว่า ระหว่างการรู้เรื่องย่อ หรือดูตัวอย่างมาก่อน กับการไม่รู้อะไรเลย แล้วค่อยไปรับรู้ ซึมซับ แบบสดๆ ตอนดูเลย อันไหนจะดูสนุกกว่ากัน สำหรับผมแล้ว มันแล้วแต่เรื่องครับ มีทั้งควรรู้และไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ตรง

Upside Down (2012)

Upside Down (I) (2012)

นิยามรักปฎิวัติสองโลก

เกริ่นๆ

ในจักรวาลที่เต็มไปด้วยปริศนา มีดาวคู่แฝดคู่หนึ่ง โคจรสวนทางกันหมุนรอบดวงอาทิตย์ ทั้งสองดวงต่างมีแรงดึงดูด และแรงผลัก ซึ่งกันและกัน โลกทั้งสองมีแรงโน้มถ่วงต่างกันแบบสุดขั้ว แต่มีท้องฟ้าเดียวกัน ก่อนจะดูหนังรู้เรื่อง ต้องรู้จักกฎ 3 ข้อของแรงโน้มถ่วงขั้วตรงกันก่อน

1. ทุกสสาร จะถูกดึงโดดด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกที่มันเป็นเจ้าของอยู่


2. น้ำหนักของวัตถุจะแลกเปลี่ยนด้วย วัตถุที่มาจากโลกตรงข้าม


3. ถ้าวัตถุสัมผัสกับวัตถุที่มาจากโลกตรงข้าม ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น จะเกิดความร้อนที่ผิววัตถุทั้งสอง


โลกทั้งสอง เต็มไปด้วยความแตกต่าง โลกเบื้องบน กินอยู่สุขสบาย มีชีวิตที่ดี ส่วนโลกเบื้องล่าง ผู้คนยากจน มีโอกาสไม่มากนัก เป็นเหมือนชนชั้นแรงงานที่ผลิตของกินของใช้ให้ชนชั้นบนใช้


Adam อยู่โลกเบื้องล่าง Eden อยู่โลกเบื้องบน ทั้งสองเคยแอบเจอกันตอนเป็นวัยรุ่นที่ยอดภูเขาสูง  แต่ก็โดนจับได้ และห้ามไม่ให้เจอกันอีก แทบจะเป็นได้ไม่ได้เลยที่ทั้งสองคนจะรักกัน นอกจากกฎของธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคต่อความรักของเขาทั้งสองแล้ว ทั้งสองโลกยังมีกฎเหล็กอีกข้อว่า การติดต่อกันข้ามดวงดาว ถือเป็นภัยอย่างมหันต์ และผิดกฎอย่างร้ายแรง ช่องทางการติดต่อที่ถูกต้องมีเพียงช่องทางเดียว นั่นก็คือ TransWorld ที่ๆจะทำให้ Adam ได้พบกับ Eden อีกครั้ง

My Review

เป็นหนังรัก โรแมนติก ธรรมดาๆ ไม่ดราม่ามากนัก ผสมกับเรื่องของดวงดาว โลกแฝด กฎของธรรมชาติอย่างแรงโน้มถ่วงของโลกสองโลก ซึ่งดูแปลกใหม่ๆ ทำให้หนังดูน่าสนใจ และน่าดู
ดูจากตัวอย่างข้างล่าง หนังแบบว่าน่าดูสุดๆ


แต่พอดูแล้ว ความรู้สึก ดรอปลงไปเยอะ เทียบกับตอนที่ดูตัวอย่าง หลักๆเลย คือ

  • หนังเรื่องนี้ เน้นเรื่องรัก โรแมนติก พลอตหลักๆของเรื่องคือ ผู้ชายยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อให้ได้พบกับคนที่ตัวเองรัก แต่ทว่าหนังไม่ได้อธิบายเลยว่า ทำไมสองคนนี้ถึงรักกัน คนดูเข้าไม่ถึง และไม่อิน และไม่มีอารมณ์ร่วมมากพอที่จะเชียร์ให้พระเอกเจอกับนางเอก ทั้งคู่หน้าตาดี แต่แค่การเจอกันบนภูเขา คุยเล่นกันแบบกลับหัวก็ไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปด้วย ว่าสองคนนี้ รักกันจนยอมจะตายแทนกันได้ character ของตัวละครในเรื่องอ่อนไป
  • พลอตเรื่องง่ายไป อะไรๆ ง่ายไปหมด เพื่อนร่วมงานทำไมช่วย Adam ทั้งๆที่ผิดกฎ สูตรผสม อยู่ดีๆก็ได้ผล ไม่อธิบายว่าทำไมถึงได้ผล หรือที่บอกว่ากฎเหล็ก แต่พระเอกเดินทางไปอีกโลกแบบเข้าง่ายออกง่าย หรือตอนจบกินน้ำชมพูเข้าไป ทำให้เดินมาอีกโลกได้สบาย
  • ช่องโหว่เยอะ
แต่ข้อดีก็มีนะ ภาพสวย ไอเดียดีสำหรับเรื่องแรงโน้มถ่วงแบบกลับขั้ว

ข้อคิด

  • ความรักชนะทุกสิ่ง แม้กระทั่งกฎของธรรมชาติ - แรงดึงดูดของโลก
  • หนังแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของโลกเบื้องบนกับโลกเบื้องล่าง จริงๆ แล้ว มันก็เกิดกับโลกของเราเหมือนกัน โดยไม่ต้องมีกฎแรงโน้มถ่วงอะไรเลย นั่นคือความเหลื่อมล้ำทางสังคม เรายืนอยู่บนโลกเดียวกัน แต่เหมือนอยู่คนละโลกกันเลย แต่ฉากสุดท้าย เหมือนจะ happy ending แฮะ

สรุป

ถ้าถามว่า คุ้มค่าที่จะดูไหม ตอบ ใช่ ถ้าคุณไม่สนใจพลอตเรื่อง คุณไม่ขี้จับผิด คุณชอบดูฉากสวยๆ พระเอกหล่อๆ และจะตอบ ไม่ ถ้าคุณคิดว่าเนื้อเรื่องมันน่าติดตาม เพราะเรื่องนี้ความอินกับหนัง อารมณ์ร่วม แทบไม่มี ไม่น่าติดตามเท่าไหร ตรงไปตรงมา ม้วนเดียวจบ ให้ 5/10

Saturday, July 20, 2013

The Bourne Legacy (2012)

The Bourne Legacy (2012)

พลิกแผนล่า ยอดจารชน

เกริ่น

เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ เกิดขึ้นเวลาใกล้เคียงกับ Bourne Ultimatum ( บอร์น ภาค 3 ) เป็นเรื่องราวของ Aaron Cross รับบทโดย Jeremy Renner สายลับอีกคนที่กำลังโดนแบบเดียวกับ Jason Bourne

My Review

ถ้าใครจำเรื่องราวของหนังตระกูล Bourne ได้ จะดูเรื่องนี้ พอรู้เรื่องตั้งแต่ต้นเรื่อง สำหรับผม จำไม่ได้แล้ว ตอนแรกๆ งงครับ คุยเรื่องอะไรกันหว่า ไม่ได้อ่านเรื่องย่อ หรือดู trailer มาก่อน รู้แค่ว่านี้คือหนึ่งในภาคต่อของ Bourne และนึกว่า Jeremy จะรับบท Bourne ต่อจาก Matt Damon ด้วยซ้ำ แต่จริงๆไม่ใช่ เป็นอีกตัวละครนึงเลย และนี่คือเรื่องแบบย่อๆ ก่อนมาถึงเหตุการณ์ในหนังครับ

Jason Bourne ในภาคแรก (The Bourne Identity ปี 2002)  เขาทำภารกิจล้มเหลว ถูกยิงหมดสติ ลอยกลางทะเล ชาวประมงช่วยไว้ เขาจำอะไรไม่ได้เลย เขาพบว่าเขามีทุกทักษะในการเป็นสายลับ เขาคือบุคคลอันตราย เขาเริ่มค้นหาว่าตัวเองเป็นใคร

ในขณะเดียวกัน หน่วยงาน CIA กลัวความลับองค์กรรั่วไหลเกี่ยวกับโครงการ Treadstone โครงการที่สร้างสุดยอดมนุษย์สายลับแบบ Bourne ภารกิจระดับประเทศ ภารกิจสอดแนมข้ามชาติ สำเร็จได้เพราะคนเหล่านี้  Bourne เลยโดนตามเก็บ แต่กลายเป็นว่า ถูก Bourne เก็บหมด 

Bourne สืบตามเรื่อยๆ จนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และขออยู่แบบสันโดษ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับใครอีก แต่ CIA ดันไม่เลิก ส่งคนมาเก็บอีก และดันไปฆ่า Marie ซะนี่ ( สาวที่เจอกับ Bourne ในภาคแรก ) Bourne เลยจะแก้แค้น โค่นล้มโครงการและองค์กรบ้าๆนี่ โดยรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ให้นักข่าวคนนึงชื่อ Simon Ross 

ถึงตอนนี้  ไม่ว่าจะเป็น CIA หรือกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ  งานเข้าแน่นอน เพราะโครงการลับต่างๆกำลังจะถูกเปิดโปง และเป็นที่สนใจของสื่อ พวกเขาตัดสินใจ หยุดโครงการทั้งหมด เก็บสายลับทุกคนที่อยู่ในโครงการ เก็บกวาดให้เรียบร้อย ทำให้ดูเหมือนไม่มีอะไร รอให้เรื่องเงียบ แล้วค่อยเริ่มใหม่อีกครั้ง \

และนี่ก็เป็นที่มาของเรื่อง Bourne Legacy อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น เหตุการณ์นี้คาบเกี่ยวกับ Bourne Ultimatum ( บอร์น ภาค 3 ) บอร์นนัดพบนักข่าวและนักข่าวก็โดนสังหาร ขณะเดียวกันในเรื่อง Bourne Legacy , Aaron Cross สายลับจากโครงการ Outcome ที่กำลังจะถูกปิด เขาก็ถูกสั่งเก็บเหมือนกัน แต่เขายังต้องการยาจากโครงการอยู่ และเป็นที่มาของการพบกันระหว่าง Aaron Cross ( เรียกว่า New Bourne คงจะไม่ผิด O_o ) กับนักวิทยาศาสตร์ของโครงการ Dr. Marta Shearing 

สิ่งที่ชอบ

  • หนังเริ่มสนุก น่าติดตามมากขึ้น ตั้งแต่ รู้ว่า องค์กรของรัฐบาล ต้องการทำอะไรกันแน่ ( ฆ่าสายลับ ฆ่านักข่าว หยุดโครงการทั้งหมด แล้วตามเช็ดให้เกลี้ยง ) ฉาก Aaron หนีจากการสังหาร ที่กลางป่า หิมะ ตกหนัก ถือเป็นฉากเปิดตัว สุดยอดสายลับคนใหม่อย่างเป็นทางการ ไม่ว่าทักษะการสังเกต (เสียงเครื่องบิน รู้สึกตะหงิดๆ) การยิงเครื่องบินตกโดนปืนไรเฟิล ทักษะการคิดและการแก้ปัญหาที่ฉับไว ถอดสัญญาณติดตัว ไปไว้ที่หมาป่า นี่แหละ ผลลัพธ์จากโครงการ Outcome ถือว่าประสบความสำเร็จ กับตัวละครเอกตัวใหม่
  • การไล่ล่า ตัว Aaron จากองค์กรรัฐบาล ไม่ได้ดูโอเว่อร์เกินไป แบบว่า เห้ยรู้ได้ไงวะ แต่หนังทำให้เห็น เป็นฉากเป็นตอน เผยให้เห็นถึงที่มาของข้อมูลว่า การจะ track ตามตัวเจอ ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ องค์กรของรัฐ สามารถแทรกแซงได้ทุกระบบ ดักคุยโทรศัพท์ ดักข้อมูลอีเมล์ เครดิตการ์ด ข้อมูลธนาคาร ข้อมูลส่วนตัว กล้องวงจรปิด วิทยุ อะไรที่ออนไลน์ เอามาดูได้หมด มีทีมงานคอยกรองข้อมูล เห็นข้อมูลไหนผิดสังเกตุแจ้งทันที ไหนจะเครื่องบินโจมตีแบบไม่มีคนขับอีก มันทำให้นึกถึง เรื่องจริงเลย ความลับของโครงการต่างๆ อย่าริมีเรื่องกับหน่วยงานลับของรัฐบาล ไม่งั้นต้องอยู่แบบไร้ตัวตน 

  • ความชั่วร้ายของ องค์กรรัฐบาล สิ่งที่องค์กรพวกนี้ทำ ก็ไม่ต่างกับ อาชญากรทั่วไป ฆ่าปิดปาก ปกปิดความจริง ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง เช่น จัดฉากฆ่านักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ส่งเจ้าหน้าที่ปลอมๆ ไปที่บ้านหมอ เพื่อที่จะจัดฉากฆ่าปิดปากหมอโดยอ้างว่าหมอฆ่าตัวตาย อย่างที่ Aaron พูด 
Well , what do you think. They are going to kill all of us and then just leave you guys alone ?
What 's going on is they're shutting the whole thing down.

  • ทฤษฎีเกี่ยวกับ การใช้ไวรัสในการ พัฒนาขีดความสามารถของทหาร ฟังดูเป็นไปได้
  • เสียง Soudtrack ดนตรีประกอบฉาก ตื่นเต้น เร้าใจ 
  • หมอ Martha (นางเอก) รับบทโดย Rachel Weisz ตกอยู่ในสถาณการณ์เดียวกัน Marie (นางเอก ของ Jason Bourne) แต่สุดท้าย Marie ก็ตาย เธอแสดงดีมาก ตีบทแตก 
  • ฉากไล่ล่า มันส์ดี

สิ่งที่ยังสงสัยอยู่

  • ก่อนหน้านี้ Aaron ไปทำอะไร ดำน้ำไปเก็บอะไร แล้วทำไมต้องซ่อนยา ทำเป็นว่าทำยาหาย แต่จริงๆซ่อนไว้ น่าจะเพราะว่า เขาไม่อยากถูกล่ามโซ่อีกต่อไป เขาต้องการหลุดพ้นจากโครงการนี้หรอ แล้วฉากแรกๆ ที่ภูเขาหิมะ เขาไปทำอะไรกันแน่ อาจจะกำลัง ฝึกอยู่ หรือโดนทดสอบอยู่

อื่นๆ

จริงๆ นิยายเรื่อง Bourne มีมากกว่า หนัง 3 ภาคที่เราเห็นอีกหรอเนี่ย โอวว

Novels[edit]

The original three Jason Bourne novels are:
The new Jason Bourne novels:

Films[edit]

The Jason Bourne film trilogy starring Matt Damon:
Other productions:
The new Bourne series films:

ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Bourne_Trilogy

สรุป

ปัจจุบัน การทำหนังแบบเนื้อเรื่องต่อกัน หนังภาคต่อ หรือ เนื้อเรื่องเดียวกัน แต่คนละเหตุการณ์ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ (Xmen , Aventure , Bourne , LotR , Wolverine , Godzilla , Transformer , ... ) การทิ้งเชื้อความสงสัยให้กับคนดู การทิ้งปมไว้ นับเป็นแรงดึงดูดที่จะทำให้หนังน่าสนใจขึ้น มีความเป็น Epic มากขึ้น เรื่องนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำภาคต่อ 

แต่กว่าจะมันส์ได้ ช้าไปหน่อย และสำหรับคนไม่เคยดู Bourne สามภาคที่แล้วมาก่อน หรือจำไม่ได้ 30 นาทีแรก ไม่รู้เรื่องครับ ส่วนเสียงดนตรี ฉากไล่ล่า ตื่นเต้นดี เอาไป 7/10 เลยแล้วกัน

Friday, July 19, 2013

The Hobbit: An Unexpected Journey (2012)

The Hobbit: An Unexpected Journey (2012)

เดอะ ฮอบบิท การผจญภัยสุดคาดคิด

เกริ่น

จุดเริ่มต้น ของ ตำนาน Lord of the Ring ย้อนกลับไปสมัย ที่ลุงของโฟรโด้ยังหนุ่ม นามว่า บิลโบ้ แบกกิ้นส์ เขาได้ร่วมผจญภัยแบบสุดคาดคิด (ชื่อตอน) กับเหล่าคนแคระทั้ง 13 คน เพื่อทวงคืนอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ Erabor ของเผ่าคนแคระ จากการบุกรุกของมังกร ชื่อ Smaug (สม็อก)

สิ่งที่ชอบ

  • เปิดเรื่องได้ดี ด้วยฉากที่ บิลโบ แบกกิ้นส์ ตอนแก่ (ลุงของโฟรโด้) ตัดสินใจที่จะเขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมด ที่ลุงแกได้เผชิญมาในช่วงวัยหนุ่ม ให้หลานโฟรโด้ได้รับรู้ เรื่องราว ข้อเท็จจริงทั้งหมด วันนั้น น่าจะเป็นวันฉลองครบรอบวันเกิดของลุงบิลโบ และเป็นฉากเปิดของ Lord of the Ring : The Fellowship of the Ring ภาคแรก และฉากนี้นำไปสู่การเล่าเรื่อง ประวัติอันยิ่งใหญ่ของเผ่าคนแคระ ผู้เคยครองเมือง Erabor แต่ก็ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนเมื่อ วันนึง มังกรบุกเมือง Erabor เพราะลุ่มหลงในทองที่เก็บไว้ในราชวัง ทำให้เผ่าคนแคระ ต้องหนีออกมา จากที่ๆพวกเขาเรียกว่า “บ้าน”

  • หลังจากการผจญภัยเริ่มขึ้น Moment ของหนังมีความต่อเนื่อง การเดินทางไม่ได้ราบรื่น จบปัญหานี้ ปัญหาอื่นตามมาทันที คนดูสนุกไปด้วย ไม่ได้ทิ้งช่วงนานเกินไป และระหว่างอุปสรรคหนังก็แทรกประเด็นต่างๆเข้ามา เช่น การพิสูจน์ตัวเองของบิลโบ้ การเคลื่อนไหวของความชั่วร้าย ที่ Gandalf รู้สึก ลิสออกเป็นข้อย่อยๆได้ดังนี้
อุปสรรคหลัก

- Orc คู่ปรับเก่ากับเผ่า Dwarf 

อุปสรรครอง

- ฉาก Troll ที่จะพิสูจน์ความกล้าหาญและชาญฉลาดของ ฮอบบิท บิลโบ้   

- การมาของ Necromancer ที่พ่อมดน้ำตาลเจอมากับตัว 

- ทิฐิของผู้นำเผ่าคนแคระ Thorin ที่ผูกใจเจ็บ ไม่นับญาติกับเผ่า Elf เพราะ Elf เลือกที่จะไม่ช่วย Dwarf เมื่อตอนมังกรบุก อย่างไรก็ตามเขาต้องพึ่ง Elf เพื่อไขปริศนา ในการหาประตูลับเข้าสู่อาณาจักร Erabor

- บทสนทนาระหว่างพ่อมดซารูแมน Gandalf , Lord Elrond และ lady Galadriel สำคัญมากๆ เป็นฉากที่บอกใบ้ใจความสำคัญเชื่อมรอยต่อเรื่องราวในภาคนี้ ภาคหน้า และเรื่องราว ใน LotR Gandalf สงสัยว่า สิ่งที่ชั่วร้าย กำลังเคลื่อนไหว ในความมืด อย่างเงียบๆ และมันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


- ฉากคนแคระ กำลังข้ามภูเขาหิน ท่ามกลางสงคราม มนุษย์ภูเขา ที่กำลังต่อสู้กัน นำไปสู่ การเคลือบแคลงในตัวบิลโบ้

- พักในถ้ำ และถูก Goblin  จับตัว ทำให้บิลโบ้ ได้เจอกับ กอลลั่ม 

- หนีออกมาจากรัง Goblin ได้ ก็ยังโดน Orc ไล่ล่าจน หนีจนไม่รู้จะหนีไปไหนแล้ว 
  • ฉากที่ชอบที่สุด เป็นฉากที่ บิลโบ้ ได้เจอกับ กอลลั่ม ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่า บิลโบ ยังไงก็ได้แหวนมาครอบครองก็ตาม 
  • สไตล์ของหนัง ยังคงรักษา มาตรฐานเดิมอย่าง The Lord of the Ring
  • CG เอาไปเลย 10/10 สวยงามมาก แต่ละฉาก
  • เสียง ประกอบหนัง เอาไปเลย 10/10 

สิ่งที่ไม่ค่อยชอบ

เสียเวลากับฉากที่บ้าน บิลโบ ตอนหนุ่มเยอะไปหน่อย เกือบ 20 นาที เห็นจะได้ ใช้เวลานานไปสำหรับตอนนี้ มุกหรือแก็กต่างๆในตอนนี้ก็ไม่ได้จับใจหรือฮามากนัก แต่สุดท้าย บิลโบก็ตัดสินใจ เซ็นสัญญา ร่วมเดินทางผจญภัย ทวงคืนบ้านให้เผ่าคนแคระ (หนังน่าจะทำให้เห็นชัดกว่านี้หน่อยว่า ทำไมบิลโบ ถึงเซ็น นอกจากฉากตื่นมาแล้วไม่เจอใคร มองในห้องที่ว่างเปล่านิ่งๆ 4 วินาที พร้อมกับเสียงดนตรีประกอบเหงาๆ ในใจคิดว่าตัวเองฝันไป แต่เมื่อให้ใบสัญญาก็รีบวิ่งเลย หรือเพราะในใจลึกๆแล้ว ชอบผจญภัย)

Quote โดนใจ

ทำไมต้อง Hobbit


Galadriel: Why the Halfling?
Gandalf: Saruman believes it is only great power that can hold evil in check, but that is not what I have found. I found it is the small everyday deeds of ordinary folk that keep the darkness at bay... small acts of kindness and love. Why Bilbo Baggins? That's because I am afraid and he gives me courage.

ข้าก็ไม่รู้ ซารูแมนเชื่อว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ที่จะควบคุมความชั่วร้ายได้ แต่ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย ข้ากลับพบว่า เรื่องเล็กน้อย ที่คนธรรมดาทำในทุกๆวัน  การมอบความดีและความรัก จะขับไล่ความชั่วร้ายให้ห่างไกล ทำไมต้องบิลโบหรอ บางทีอาจเป็นเพราะข้ากลัว และเขามอบความกล้าให้ข้า

สิ่งที่เรียกว่า "บ้าน"



Thorin Oakenshield: It matters. I want to know, why did you come back?
Bilbo Baggins: I know you doubt me and I know you always have.
And you're right, I often think of Bag End. I miss my books and my armchair and my garden. You see, that's where I belong. That's home.
And that's why I came back, because you don't have one. A home. It was taken from you, but I will help you take it back if I can.

ธอริน : ข้าต้องการรู้...ว่าเจ้ากลับมาทำไม
บิลโบ : ท่านเคลือบแคลงตัวข้า...ข้ารู้ ข้ารู้มาตลอด และมันก็ถูกต้อง
ข้าคิดถึง Bag End (ชื่อเรียกบ้านของ Hobbit) คิดถึงหนังสือของข้า คิดถึงเก้าอี้นวม คิดถึงสวนของข้า นั่นเป็นที่ที่ข้าควรอยู่ นั่นคือบ้านของข้า 
ข้าถึงกลับมาเพราะว่า...พวกท่านไม่มีไง สิ่งที่เรียกว่าบ้าน พวกเขาเอาไปจากท่าน ข้าจะช่วยท่านเอาบ้านกลับมา

ฉากบิลโบหนีออกมาจากถ้ำกอบบลิน และถูกธอรินหาว่าหนีกลับบ้านไปแล้ว

สรุป

ถึงความยาวหนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ น่าเบื่อ เพราะเนื้อหา ที่น่าติดตาม การผูกเรื่อง ปูเรื่อง ทำให้อยากดูภาคต่อ สมกับเป็น มหากาพย์ The Lord of the Ring  เอาไปเลย 8/10

อื่นๆ

- กานด๊าฟ กับ เลดี้ Galadriel ต้องมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งแน่ๆ เลย ภาคต่อไป คงได้รู้กัน ชื่อภาค 2 The Hobbit: The Desolation of Smaug (2013)

- อันนี้เจอในเนต ฉากที่เชื่อมต่อกัน ระหว่าง The Hobbit กับ The Lord of the Ring ส่วนตัวจำไม่ได้แล้ว จริงเท็จแค่ไหน ดูเอาเลยครับผม : )



Wednesday, July 17, 2013

Looper (2012)

Looper (2012)

ทะลุเวลา อึดล่าอึด

เกริ่น

แม้การเดินทางข้ามเวลา ยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้น แต่อีก 30 ปีข้างหน้า มันจะบังเกิด ผม(โจ) อยู่ในหน่วยมือสังหารพิเศษในโลกปัจจุบัน เรียกง่ายๆว่า loopes เมื่อมาเฟียในอนาคตอยากกำจัดใครสักคน พวกเขาจะส่งคนนั้นย้อนเวลากลับมาให้ผมกำจัดทิ้งซะ loopers ได้ค่าตอบแทนสูง พวกเรามีชีวิตที่สุขสบาย มีเพียงกฎข้อเดียว อย่าให้เป้าหมายหนีรอด ถึงแม้ว่าเป้าหมาย...คือตัวคุณเอง

My View

  • เป็นหนัง action sci-fi ที่เกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา (ย้อนอดีต) มีหลายๆคำถามผุดขึ้นในหัวหลังดูรอบแรกเสร็จ เลยดูอีกรอบซะเลย บางคำถาม ก็ได้คำตอบ แต่บางคำถาม ก็ยัง งงๆอยู่
- ใครส่งใคร จากอนาคต มาให้
ตอบ : อาชญากรในอนาคต เป็นผู้ครอบครอง เทคโนโลยีการย้อนอดีต จะส่งคนที่ต้องการกำจัดในอนาคต กลับไปในอดีต เพื่อให้ ลูปเปอร์ ที่ยืนถือปืนรออยู่ ยิงทันทีที่เห็น ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไร ยิงเสร็จ เก็บแท่งเงินที่ติดมากับคนในอนาคต เอาไปขึ้นเงินที่สำนักงาน

- ทำไม ไม่ฆ่าที่อนาคตเลย ทำไมต้องลงทุนส่งมาให้คนในอดีตฆ่า
ตอบ : โจ(พระเอก)บอกว่า ที่อนาคต ทุกคนถูกติดตามได้ง่ายมากเวลาหายตัวไป และไม่มีที่ๆจะกำจัดศพ เลยต้อง (มีงี้ด้วยหรอ นึกไม่ออกจริงๆว่าทำไม ถึงต้องส่งย้อนอดีตกลับมา??)

- แล้วใครเป็นคนเริ่มการปิดลูป (ส่งลูปเปอร์จากอนาคตมาให้ลูปเปอร์ในอดีตฆ่า พูดง่ายๆคือฆ่าตัวเอง แล้วจะได้อยู่อีกแค่ 30 ปี แล้วถึงจะโดนเก็บ)
ตอบ : คิดว่า เรนเมคเกอร์

- เรนเมคเกอร์ ปิดลูปเพื่ออะไร
ตอบ : เพื่อล้างแค้น ลูปเปอร์ที่ทำให้แม่เขาต้องตาย

- แล้วทำไมไม่ฆ่าลูปเปอร์ ที่อนาคตซะเลยล่ะ มีพลังจิตซะขนาดนั้น
ตอบ : คิดว่า ที่เรนเมคเกอร์ ปิดลูป ลูปเปอร์ทั้งหมด จริงๆแล้ว คือ การเริ่มต้น ลูปการฆ่าตัวเองของลูปเปอร์แบบไม่รู้จบ แบบนี้มันสะใจกว่าการฆ่าครั้งเดียวจบซะอีก (คิดเองล้วนๆ)

- งงว่า ในยุคโจแก่ ทำไมเริ่มมีเรนเมคเกอร์แล้ว ทั้งๆที่เขา ก็ยังไม่ได้ย้อนเวลากลับไปเลย
ตอบ : ตอนสุดท้าย ที่โจหนุ่มคิดในใจก่อนฆ่าตัวตาย นั่นแหละ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ก่อนหน้าที่เข้าย้อนอดีตมาก็มี เรนเมคเกอร์แล้วนี่ แอบงง แสดงว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว และเหมือนเอามารีเพล์เล่นใหม่ และคนที่ทำให้เกิดเรนเมคเกอร์ ก็คือโจแก่เองนั่นแหละ


  • ประเด็นของหนัง แบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรก เกริ่น ช่วงสอง ช่วงคราวซวยของโจหนุ่ม และช่วงสาม ช่วงเรนเมคเกอร์ ช่วงแรกกับช่วงสอง สนุกใช้ได้ ช่วงที่สาม ออกแนวเบื่อๆ ตอนที่โจไปที่บ้านไร่ของเด็กซิด ดูเอือยๆ เฉื่อยๆ เค้นออกมาได้ไม่สุด
  • ดูใน trailer เห้ย เนื้อเรืองน่าสนุก คงบู้กันตื่นเต้นน่าดู เสียงระเบิด เสียงดนตรีในตัวอย่าง นี่ได้เลย แต่พอดูของจริง ทำไม sound มันเงียบๆ ทึมๆ งี้วะ บางช่วงในหนัง เงียบก็เงียบเกิ้น น่าจะมี sound ดนตรี ให้มันตื่นเต้นๆหรือให้ได้อารมณ์หน่อย

  • เพื่อนของโจ ชื่อ เซธ ( Paul Dano ) หน้าคล้ายๆกับ เซียนคอม ( Domhnall Gleeson ) ในเรื่อง Dredd นะ 
ซ้าย Looper ขวา Dredd
  • Kid Blue นี่มันนักเลงกระจอกจริงๆ ๕๕ จับตัวโจแก่มาได้แท้ๆ ดันกลายเป็นพาโจแก่มาถล่มแก็งมาเฟียถึงถิ่นเลย 
  • ฉากสุดท้ายคือ climax ของเรื่อง 
  • การที่โจฆ่าตัวตาย เพื่อยุติปัญหาทั้งหมด ทำช็อคเหมือนกัน เพราะว่าไม่ได้รู้สึกว่าโจจะรู้สึกผิดขนาดนั้น ยังเฉยๆกับโจอยู่เลย ทำไมฆ่าตัวตายแล้วล่ะ เหมือนหนังทำไม่อินไปด้วยไม่สุด character ของโจก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร ถึงขนาดที่จะต้องฆ่าตัวตาย แต่ถ้าพูดอีกแง่มุมนึง โจเห็นตัวเองในอนาคต เห็นตัวเองในปัจจุบัน เห็นตัวเองในอดีต และดังที่เขาคิดในใจว่า ฉันเห็นแม่ที่ยอมตายเพื่อลูก เห็นผู้ชาย(โจแก่)ที่ยอมฆ่าเด็กเพื่อช่วยคนรัก ด้วยความที่เขา ไม่มีใครเลย ในชีวิต (ไม่รู้จะทำเพื่อใคร) เลือกเงิน มากกว่าเพื่อน (เป็นคูณๆจะทำไง) เขาเลยตัวสินใจ ฆ่าตัวเอง เพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ (มั้ง) และที่สำคัญเพื่อช่วยเด็ก ให้ยังมีแม่คอยดูแล
  • เป็นอีกเรื่องที่นำเอาประเด็น มนษย์ในอนาคตจะเป็นมนุษย์กลายพันธ์ (คนมีพลังจิต) เกิดขึ้น เรื่อง Dredd ก็มีแบบนี้ (ดูสองเรื่องนี้ติดกัน เลยนึกได้) 

Quote

Big heads, small potatoes
กร่างแต่กลวง
ประโยคโจ บรรลุแจ่มแจ้งแล้ว
Joe: Then I saw it. I saw a mom who would die for her son. A man who would kill for his wife. A boy, angry and alone. Laid out in front of him, the bad path. I saw it. And the path was a circle. Round and round. So I changed it.

สรุป

เนื้อเรื่อง สนุกดีอยู่ ส่วนตัวชอบอยู่แล้วหนังเกี่ยวกับการย้อนเวลา แต่ดนตรี เสียง เป็นแปลกๆ และคาแรคเตอร์ของพระเอกไม่ชัดเจน การฆ่าตัวตายของเขาในฉากสุดท้าย เป็นฉากจบที่ดี แต่ควรทำให้ผู้ชม อินมากกว่านี้ พาให้ไปถึงจุดสูงสุด ส่วนตัวคิดว่า โจยังไม่มีแรงบันดาลใจแรงมากพอที่จะฆ่าตัวตาย เลยได้แค่ 7/10 สำหรับเรื่องนี้

Sunday, July 14, 2013

Warm Bodies (2013)

Warm Bodies (2013)

ซอมบี้ที่รัก

เกริ่น

ซอมบี้ ไม่มีชื่อ อยู่ไปวันๆ เรื่อยๆ หว่าเว้ เหงา ขาดแรงบันดาลใจ (ซอมบี้ตนนี้เยอะแฮะ)  จนวันนึง เขาก็ได้พบกับ "เธอ"
หนัง รัก โรแมนติก ตลกๆ น่ารักๆ ในแบบฉบับซอมบี้กินสมองคน คนกับซอมบี้จะไปกันรอดเร๊ออออ แนะนำให้คนเหงาหรือคนยังไม่มีแฟนดู ความเหงาก็เปรียบเสมือนกับซอมบี้ อยากจะคุยจะคอนเนคกับคนอื่นก็ทำไม่ได้ เพราะพูดได้แค่ Hrrrrr (เสียงซอมบี้คราง) และแล้วก็ได้เจอกับผู้หญิงคนนึง ที่จะทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไปเลย

My View

---- Spoiled Alert ----
15 นาทีแรกของหนัง เป็น moment ที่ดีที่สุดในเรื่อง รู้สึกได้ถึงความเหงา หลงทาง หว่าเว้ ของซอมบี้พระเอก เขาเฝ้าสงสัยมาตลอด (คิดในใจ) ว่ามีแค่เขาคนเดียวรึปล่าวที่รู้สึกหว่าเว้ขนาดนี้ มีซอมบี้ตนไหนอีกไหมที่มีความรู้สึกอยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้บ้าง

สิ่งที่ชอบ
- การเล่าเรื่องราวต่างๆ จากความคิดของซอมบี้พระเอก คือส่วนสำคัญของหนังเรื่องนี้ ทำให้ซอมบี้พระเอก มี character ที่ชัดเจน คนดูจับต้องได้ และรู้สึกตามไปด้วย มุกหลายๆมุก ฮาเพราะซอมบี้พระเอกคิดในใจนี่แหละ เช่น ตอนที่พระเอกเจอการ์ดของเมืองมนุษย์แล้วโดนสงสับเข้า เขาคิดในใจ say something human , say something human.
- เพลงต่างๆในเรื่อง เพราะๆ ทั้งนั้นเลย เลื่อนไปล่างๆเลยครับ แปะลิ้ง youtube ให้
 All The Songs In "Warm Bodies"

"Sitting In Limbo" - Jimmy Cliff
"Missing You" - John Waite
"The Bad In Each Other" - Feist
"Be The Song" - Foy Vance
"Patience" - Guns 'N Roses
"Shell Suite" - Chad Valley
"Hungry Heart" - Bruce Springsteen
"Shelter From The Storm" - Bob Dylan
"Hinnom, TX" - Bon Iver
"Yamaha" - Delta Spirit
"Rock You Like A Hurricane" - Scorpions
"Oh Pretty Woman" - Roy Orbison
"Midnight City" - M83
"Runaway" - The National
"Numbers Don't Lie" - The Mynabirds
ที่มา :  http://blogs.indiewire.com/theplaylist/all-the-songs-in-warm-bodies-including-feist-bon-iver-m83-bob-dylan-bruce-springsteen-more-20130130
- ฉากที่พระเอกพานางเองโดดลงสระจากที่สูงเพื่อหนีโบนี่ เขากอดนางเอกไว้แน่น เอาตัวเขากระแทกกับพื้นน้ำเพื่อให้นางเอกปลอดภัย
- การเริ่มเปลี่ยนจากซอมบี้เป็นคน โดยเฉพาะฉากที่เกิดกับเพื่อนพระเอก ปาฎิหารย์ได้เกิดขึ้นแล้ว

สิ่งที่ไม่ค่อยชอบ
- โบนี่ ทำไม่ค่อยคือ เท่าไหร character ไม่ชัดเจน
- แฟนเก่านางเอก แสดงแข็งๆ บทกับหน้าไม่ค่อยให้  ตอนแรกนึกว่าเป็นเกย์

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
- ความรัก ชนะทุกสิ่ง สิ่งดีงามบนโลกใบนี้จะเกิดขึ้นได้เพราะความรัก มันเป็นสิ่งที่น่าจดจำ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
- ฉากสุดท้ายที่ซอมบี้อยู่กับมนุษย์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่างกัน แต่พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน

สรุป

เป็นหนัง romantic comedy ที่สนุกอีกเรื่อง ฉีกแนวไปอีกแบบ แปลกใหม่ ใช้ได้ เอาไป 7/10

อื่นๆ

เพลงทั้งหมด จากหนังเรื่อง Warm Bodies ซอมบี้ที่รัก

"Sitting In Limbo" - Jimmy Cliff

"Missing You" - John Waite

"The Bad In Each Other" - Feist

"Be The Song" - Foy Vance

"Patience" - Guns 'N Roses

"Shell Suite" - Chad Valley

"Hungry Heart" - Bruce Springsteen

"Shelter From The Storm" - Bob Dylan

"Hinnom, TX" - Bon Iver

"Yamaha" - Delta Spirit

"Rock You Like A Hurricane" - Scorpions

"Oh Pretty Woman" - Roy Orbison


"Midnight City" - M83

"Runaway" - The National

"Numbers Don't Lie" - The Mynabirds

Saturday, July 13, 2013

Dredd (2012)

Dredd (2012)

เดร็ด คนหน้ากากทมิฬ

เกริ่น

ตอนแรกคิดว่า พลอตเรื่องธรรมด๊าธรรมดา ตำรวจจับโจร บู๊แบบล้างผลาญ คงไม่มีอะไรให้ลุ้นมากมาย แต่ไม่ใช่เลย ลุ้นตัวโก่ง (ถ้าเลือกเสียง soundtrack ได้ แนะนำดู soundtrack ดีกว่าครับ ไม่ใช่หนังตลก พากษ์ไทยก็จะพากษ์ให้มันตลกอยู่นั้นแหละ คนละความรู้สึกกันเลยกับเสียง soundtrack เพราะจะรู้ถึงสิ่งที่หนังอยากจะสื่อจริงๆ ไม่ใช่คำพูดตลกโปกฮา เร็วกว่า 3g อีก เสียงจริงโคตรจะเครียด ซีเรียส ดุดัน)

สิ่งที่ชอบ

  • sound  เสียงดนตรี ดูดิบๆ นิ่งๆ เมโทรๆ เข้ากับธีมหนังเป็นอย่างดี
  • พลอตเรื่อง สนุก ไม่ธรรมดา อย่างที่คิด
    • ตัวหนังเกริ่นเรื่องได้ สั้น แต่ได้ใจความมากๆ เมืองถูกล้อมด้วยกำแพง ผู้คน 800ล้านคนอาศัยอยู่ อาชญากรรมเกิดขึ้นมากมาย ผู้คนหวาดกลัว แต่ยังมีบุคคลกลุ่มนึงต่อสู้เพื่อรักษาความสงบ พวกเขาเป็นทั้งลูกขุน เพชรฆาต และตุลาการ 
      • ฉากเปิดตัวเดรด ทำให้รู้เลยว่า เมื่อผู้ร้ายทำผิดกฏหมาย เขาสามารถตัดสิน และพิพากษา ได้เดี๋ยวนั้นเลย ทุกครั้งที่จะทำอะไรต้องรายงานศูนย์ ที่ไม่ใช่แค่โอเปอเรเตอร์ สิบยี่สิบคน แต่เป็นร้อยเป็นพันคน สอดคล้องกับที่เดรดบอกตุลาการฝึกหัดว่าวันๆนึง มีคดีเกิดใหม่12 คดีต่อนาที 17000 ซึ่งดูสมเหตุสมผล อินไปกับหนัง
      • ฉากไล่ล่า บ่งบอกได้ดีว่า สังคมในยุคนั้น เสื่อมขนาดไหน คนตายเป็นว่าเล่น จึงใช้กฎแบบนี้ ถึงจะเอาอยู่
    • เหตุการณ์หลายตลบ ไม่ได้จบง่ายๆ มีหลายขยัก ค่อยๆเพิ่มดีกรีความมัน ตึ่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ลุ้นจนเกือบนาทีสุดท้าย
      • ฉากที่โดนล็อคในเขต peach tree อึ้งไปเลย ซวยสุดๆ เละตุ้มเป๊ะแน่งานนี้
      • ตุลาการฝึกหัด แอนเดอสัน อึ้งนิดๆกับเหตุการณ์ในห้อง เมื่อรู้ว่า เธอเพิ่งฆ่าสามีคนที่ช่วยไป
    • ฉากเปิดตัวคนร้าย โหดสุดๆ ตอนที่ร่างกระทบพื้นดังตึง ตึง...และ ตึง โคตรน่ากลัว 
  • ตัวละคร
    • เดรด ท่าทาง บทบาท บุคลิค ลงตัวสุดๆ  แกใช้ปากแสดงอารมณ์ทั้งเรื่อง เช่นฉาก ที่ไปขอให้แพทย์เปิด ประตู แต่แพทย์ไม่เปิด ถึงแม้จะเห็นแค่ปาก ไม่เห็นตา ไม่เห็นเต็มๆ หน้า แต่ก็รู้ว่าพี่ เดรด แก เซงสุดๆ
      • ฉากที่แอนเดอสัน ทายว่าใครอยู่ข้างนอก ซึ่งก็บอกถูกว่าเป็น Judge เป็นผู้ชาย สามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธและข่มเอาไว้ แต่มีบางความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการข่มใจไว้ แล้วก็โดนหัวหน้าหยุดไว้ซะก่อน ซึ่งทำให้ Dredd มี Character ที่น่าติดตาม น่าสนใจ จะเห็นได้ว่า ทั้งเรื่อง Dredd ไม่ได้ถอดหน้ากากเลย ซึ่งตอนแรกก็นึกว่า เฮีย Sylvester Stallone แกแสดง แต่ไม่ใช่ จริงๆเป็น Karl Urban ซึ่งแสดงได้ดีไม่แพ้กัน มี ภาค 2 ได้ไม่อยาก ทิ้งปมไว้หลายอย่าง 
    • ตุลาการฝึกหัด แอนเดอสัน ให้ความรู้สึกว่าเป็น ตุลาการฝึกหัดจริงๆ บทดี แสดงดี
    • Mama ตัวร้าย แม่งร้ายเหี้ย อึ้งกับฉาก call 911 เห้ย จะโทรเรียกตำรวจทำไมวะ พอมาจริงๆก็ไม่ได้มาแบบทื่อๆ นึกว่าจะมาช่วยจริงๆ ฉากจบ จบได้สะใจมาก พี่เดรดแกไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำขู่แม้แต้น้อย ยิงเลย แล้วเฉลยทีหลัง
  • Dialogue ยอดเยี่ยม
    • โดยเฉพาะ Dredd พูดน้อย ต่อยหนัก แต่ละคำพูด เน้นๆ เนื้อๆ 
    • ฉากเปิดตัว แอนเดอสัน หัวหน้าเดรด ให้ติดตาม เดรด ออกหน้างาน หนึ่งวันเต็ม แกบอก ของานหนักๆ สักงาน จะได้รู้ว่าผ่านหรือตก จัดให้เลยครับงานนี้ เละ
    • ชอบที่เดรด มักจะให้แอนเดอสัน วิเคราะห์ประเมินสถาณการณ์ ตัดสินใจ เพื่อจะประเมินว่า แอนเดอสัน จะผ่านการฝึกงานครั้งนึหรือปล่าว
  • Quotes
Judge Dredd: Incorrect sentencing is a automatic fail, Disobeying a direct order from your assessment Officer is an automatic fail, Losing your primary weapon or have it taken from you is a automatic fail.... You Ready Rookie?
Cassandra Anderson: I am.
Judge Dredd: Your assessment starts now.
Judge Dredd: Ma-Ma is not the law. I'm the law.
  • ฉากเด็ดๆ
Judge Dredd: Rookie, you're ready?
Anderson: Yeah.
Judge Dredd: You don't look ready.

สิ่งที่ไม่ชอบ 

ไม่มี

สรุป

ทุกอย่าง ลงตัว เนื้อเรื่องสนุก ดีกว่าเมื่อเทียบกับภาค สตอลโลนแสดง เหตุผลเดียวกับ ถ้าถามผมว่า James Bond ภาคเก่าหรือภาคใหม่ ชอบภาคไหนมากกว่ากัน ผมตอบภาคใหม่ เพราะมันจับต้องได้ เถื่อนๆ ดิบๆ จับต้องได้ เจ็บเป็น นำเสนอที่ตัวบุคคลมากกว่า technology ของอาวุธ เอาไปเลย 10/10 ขึ้นแท่นหนังในดวงใจอีกเรื่องนึง

อื่นๆ

Youtube เปรียบเทียบ Dredd 2012 กับ Judge Dredd 1995 (Karl Urban vs. Sylvester Stallone)


Every Death in "Dredd" (Chronological Order) [SPOILERS]





Saturday, July 6, 2013

The Last Stand (2013)

The Last Stand (2013)

นายอําเภอคนพันธุ์เหล็ก

เกริ่น

อาโนลรับบทนายอำเภอที่ใกล้เกษียนเต็มที (แก่แล้ว) แกประจำอยู่ที่เมือง Sommerton เมืองหน้าด่านปราการสุดท้าย ซึ่งนายอำเภอต้องหยุดผู้ร้ายที่จะหนีข้ามแดนไปเมกซิโกให้ได้

ชอบ

  • มุกของหนังใช้ได้เลย ฮาหลายชอตเลย ๕๕
    • ลูกน้องของนายอำเภอ หลายๆคน ฮาได้เรื่อง - (รูป2)
    • หัวหน้าตำรวจ ที่รับบทโดย Forest Whitaker ก็ฮา โดยเฉพาะฉาก นายอำเภอ วางหูใส่ถึงสองครั้ง และฉากที่ไล่จับคนร้ายแหกคุก สัมภาษณ์คนเสื้อส้ม - (รูป3) บทแกเป็นแบบ มึนๆ งง ตามคนร้ายไม่ทัน โดนหลอกง่ายๆ โง่ๆ แต่หน้าตาจริงจัง ๕๕
  • Peter Stormare เหมาะกับการเล่นบทเจ้าพ่อ (หัวหน้าตัวร้าย) สุดๆแล้ว ดูน่ากลัว  ทำอะไรบ้าๆ บทพูดกวนๆ ฆ่าคนเป็นผักปลา นี่แหละเขา
    • ฉากคุยกันในร้านกาแฟ รู้เลย เฮียแกหัวหน้าตัวโกงแน่นอน
    • ฉากไปคุยกับชาวนา บทสนทนา โดนสุดๆ สถานการณ์น่าสิ่วน่าขวาน ลุ้นตามไปด้วย สุดท้ายลุงชาวนาปลิวไปเลย - -" - (รูป4)
  • บทนายอำเภอนึกถึงปู่ คลิ้น อีสวูด เลย ใช่เลยอ่ะ แต่พี่อาโนลแกก็แสดงบทนี้ได้ยอดเยี่ยม

ไม่ค่อยชอบ

  • บทตัวร้ายที่แหกคุก ดูเก๊กๆไปหน่อย มาดไม่เหมือน เจ้าพ่อมาเฟีย พันล้าน
  • ประเด็นการขับรถแหกคุก ดูกิ๊กก๊อกไปหน่อย โดยเฉพาะ ฉากหน่วยสวาทโดนตัวร้ายจัดการ 

Quote ที่ชอบ

Burrell : Howdy. How's it going?
Farmer : Be going a lot better if you tell me...what the hell you're doing on my property.
Burrell : My name's Burrell. You see, I'm shooting a commercial. I'm sure you've seen one on TV. And your property would be just perfect...
Farmer : Hey.
Farmer : Get the hell off of my property.
Burrell : The company I'm working for...is gonna pay you a lotta money. You don't have to do a damn thing.
Farmer : Did you hear what I said?  ...Huh?
Burrell : Don't you at least wanna hear ...what I have to offer?
Farmer : No. You wanna hear my offer? You clear out now ...and I won't fill your ass full of buckshot.
Burrell : Old man, you better put that piece away...before you blow your toes off. We just talkin' here.
Farmer : Now we finished talkin'. You get the hell outta here!
Burrell : Okay. That's your decision. You don't want to take the silver? Better take the lead.

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

My honor is not for sale ( เกียรติ ของกู ไม่ได้มีไว้ขายโว้้ยยยยยยยยยยยย )

สรุป

เป็นหนัง action comedy ที่ดีเรื่องนึง เรียกเสียงหัวเราะแบบดังๆจากผมได้ เอาไปเลย 8/10






Friday, July 5, 2013

Halo 4: Forward Unto Dawn (2012)

Halo 4: Forward Unto Dawn (2012– )

เฮโล 4 หน่วยฝึกรบมหากาฬ 

เกริ่น

ออกตัวก่อนว่า ไม่เคยรู้เนื้อเรื่องมาก่อน เพราะไม่เคยเล่นเกมนี้มาเลย เหมือนจริงๆแล้วมันจะเป็น Series นะครับ มีทั้งหมด 5 ตอน เอาไว้โปรโมทเกม Halo 4 ที่กำลังจะเปิดตัวในไม่ช้านี้ ถ้าใครไม่ได้เล่นเกมหรืออ่านเนื้อเรื่องมาก่อน งงแน่นอนครับ ๕๕ 

เนื้อเรื่องก็ประมาณว่า ณ ศูนย์ฝึกเยาวชนทหาร เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะไปเป็นทหารจริงๆ ลาสกี้ ตัวเอกของเรื่องนี้ เขาเป็นคนดื้อ หัวรั้น หลายๆครั้งเขาทำให้ทีมเสียคะแนนในการฝึก และเหมือนเพื่อนของลาสกี้ ชื่อซัลลิแวน มั้ง แฮควิดีโอของกองทัพมาดูได้ และได้เห็นตัวอะไรปะหลาดๆ จังหวะนั้น เอเลี่ยนก็บุกมาพอดี แล้วใครจะรอดมั่งล่ะทีนี้ อ้อ สุดท้ายมี มนุษย์ยักษ์ชื่อ Master Chief มาช่วยพวกเขาเอาไว้

ชอบ :

  • ภาพสวย ทำตัวเอเลี่ยนสวย นึกถึงเกม Star Craft เลย

ไม่ชอบ

  • ทหารเด็ก การฝึก ดูกิ๊กก๊อกไปหน่อย ท่าวิ่ง ความทะมัดทะแมง ดูอืดๆ เอื่อยๆ เหมือนเด็กถือปืนอัดลม
  • เนื้่อเรื่องที่ไม่ทำให้คนที่ไม่ได้เล่นเกม ดูรู้เรื่อง
  • หัวหน้าทหารเยาวชน ชื่ออะไรนะ  Orenski เอาคนอื่นแสดงแทนได้ไหม ตัวเล็ก คาแรคเตอร์ไม่ให้เลย
  • ประเด็นของหนังหลายๆจุด ก่อไว้เฉยๆ แล้วให้ไปติดตามในเกมหรอ เช่น
    • ทำไมเอเลี่ยนบุก
    • พี่ชายของลาสกี้ อะไรยังไง ความหลังเป็นไงมาไง
    • ชนเผ่าที่ต่อสู้ด้วย เขาเป็นใคร ทำไมถึงต่อสู้
    • และอื่นๆ

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง

พยายามคิดนอกกรอบบ้าง อย่างที่ลาสกี้ สั่งให้ลูกทีมถอดหมวกให้หมด แล้วซุ่มยิงอีกฝ่ายที่ตามสัญญาณหมวกมา

สรุป 

ดูไม่รู้เรื่อง เนื้อเรื่องงงๆ แต่ภาพสวย ให้ 5.8/10 

Thursday, July 4, 2013

Jack the Giant Slayer (2013)

Jack the Giant Slayer (2013)

แจ็ค ผู้สยบยักษ์


My Review

ชอบ :
- ฉากฉายเทียบกันระหว่างแจ็คกับเจ้าหญิงทั้งตอนเด็กและตอนโต ตอนเด็กทั้งคู่ชอบฟังนิทานเรื่องยักษ์เหมือนกัน หนังก็ฉายสลับกัน ตอนโต หนังฉายสลับกัน ระหว่างฉากที่แจ็คโดนลุงด่า กับฉากที่เจ้าหญิงเถียงกับพ่อ บทสนทนาต่อกัน ทั้งๆที่อยู่คนละเหตุการณ์ ทั้งคู่กำลัง เจอปัญหาเหมือนกัน และมันเหมือนพรหมลิขิตที่ทำให้ทั้งคู่ ได้กลับมาเจอกันอีก 

- ยักษ์ ตัวละคร ที่มีคาแรคเตอร์ ชัดเจนสุด โดยเฉพาะตัวหัวหน้า ด้วยความเป็นสองหัว ทำให้มันดูน่ากลัว ฉากทียักษ์เคลื่อนพลลงมาโลก ตื่นเต้นสุดแล้ว ฉากที่ ฟัม ยักษ์หัวฟู ไม่ช่วย ยักษ์หัวหน้า ฉากที่แจ๊ค ฆ่ายักษ์ตัวที่สองได้

- ฉากที่พ่อ สั่งตัดต้นไม้ทั้งๆที่ลูกยังไม่ลงมา

- การให้ตัวละครพูดประโยคซ้ำในฉากสำคัญทำให้หนังดูมีเสนห์และดูแน่นขึ้น ในเรื่องนี้มี 2 ประโยคคือ
There's something behind me, isn't there?พูดโดยแจ็คตอนต้นเรื่อง และพูดโดย Elmont ทหารพระราชาตอนท้ายเรื่อง
One day you'll be the queen...and from then on you'll have the power to make the world a better place.แม่ของเจ้าหญิงพูดตอนต้นเรื่องกับเจ้าหญิงตอนเด็ก และแจ็คพูดกับเจ้าหญิงอีกครั้ง เมื่อเจ้าหญิงรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า 
ไม่ค่อยชอบ :
-ฉากยักษ์น้อยเกิน อยากเห็นฉากบนบ้านยักษ์เยอะๆ ตื่นเต้นๆกว่านี้
-ไม่ค่อยอินเท่าไหร

อื่่นๆ
- เป็นหนังไม่คิดไรมาก เนื้อเรื่องตรงไปตรงมา ถ้าจะทำดราม่าหน่อยๆ โหดๆนิดๆ ก็ได้ แต่คนสร้างเลือกที่จะทำแนวนี้

สรุป
- เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ให้ 6.8/10

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง
จงมองหาสิ่งดีๆ เมื่อเกิดเรื่องแย่ๆขึ้น เฉกเช่นแจ็คบอกเจ้าหญิงว่าอย่าโทษตัวเองเลยที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ถ้าท่านไม่หนีออกมากและทำให้เหตุการณ์วุ่นวายแบบนี้ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า Rederic เป็นคนไม่ดี